Archive | July 2022

At the Top (1971)

At the Top (1971 / Ishmael Bernal)
(Philippines)

ก้มกราบ Ishmael Bernal เรื่องนี้มันคือผลงานการกำกับชิ้นแรกแต่นำขึ้นหิ้งไปได้เลย

เปิดเผยเนื้อหา ****

ตัวหนังว่าด้วยเรื่องสังคมคนทำหนัง/อุตสาหกรรมของฟิลิปปินส์
ชิงจากสาวเต้นเปลื้องผ้าไปสู่การเป็นนักแสดง เพียงเพราะเธอเป็นเอ๊กตร้าที่ทำหน้าที่ตัวเองได้ดี ผู้กำกับชอบเลยติดต่อเผื่อไว้เธออาจสนใจงานแสดงเพิ่มเติมอีก แล้วก็โชคดีคราวนี้ได้เป็นสตั๊นต์ดับเบิลให้นางเอก ที่ประสาทแดกเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานที่ต้องแสดงกับพระเอกที่เป็นสามีในชีวิตจริง เรื่องงานไม่สนสนแต่ฉันจะทะเลาะกับคุณไม่แสดงแล้วขึ้นรถกลับบ้าน ชิงเลยถูกผู้กำกับไหว้วานให้เป็นสตั๊นต์ดับเบิลสวมชุดนักแสดงหญิงคนนั้นสวมวิกแล้วถ่ายจากด้านหลังแทน จุดนี้แหละที่ทำให้ผู้กำกับคนนั้นเสนอโอกาสให้ชิงก้าวเท้าเข้าสู่วงการภาพยนตร์ผ่านการเป็นนักแสดงหญิงภายใต้ชื่อใหม่ ตัวตนใหม่ ปกปิดอดีตตัวเองที่เป็นสาวเต้นเปลื้องผ้าไว้

ตัวชิงมีคนรักที่เป็นคนขับรถแท็กซี่ ทั้งคู่พบรักกันผ่านการใช้บริการแท็กซี่ตอนกลางคืนของเขา แต่คนขับแท็กซี่นั้นมีครอบครัวอยู่แล้วซึ่งชิงก็รู้ แม้ว่าเธอจะทะเลาะกับเขาบ่อยหรือหนักแค่ไหนก็ตามแต่ในหัวใจและความรักชิงมีเพียงเขาคนขับแท็กซี่คนนี้คนเดียวเท่านั้น

เมื่อถอยออกมาจากเรื่องของชิง ก็จะพบกับมาตรฐานตลาดหนังของฟิลิปปินส์ในยุคนั้น ที่หนังแนวที่บูมและทำเงินมากที่สุดก็คือ หนังที่มีฉากโป๊ จากนั้นก็จะพบการตบตีกันของผู้กำกับและโปรดิวเซอร์นายทุนให้เงินทำหนัง ผู้กำกับที่ดึงชิงมาทำงานด้วย เขาเป็นผู้กำกับสายยุโรปหรือจะบอกว่าหนังเขาคือกลิ่นอายติดหนังอาร์ตก็ว่าได้ การแทรกแซงของโปรดิวเซอร์คือต้องการให้ผู้กำกับถ่ายทำเพิ่มแทรกฉากโป๊ฉากเลิฟซีนเข้าไปในหนัง เพราะมันจะรับประกันว่าขายได้แน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ผู้กำกับไม่พอใจก็คือ การที่อยู่ๆ จะให้ถ่ายใหม่อะไรแบบนี้ ซึ่งผู้กำกับก็มีแนวทางการทำหนังที่ชัดเจนบอกไว้ตั้งแต่แรกที่คุยกันกับโปรดิวเซอร์แล้ว จะให้มายัดฉากเพิ่มตามใจตลาดจนตัวผู้กำกับสูญเสียจุดยืนการทำหนังของตัวเองไปแบบนี้ เขายอมไม่ได้ ซึ่งหนังเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ต้องพิสูจน์เมื่อหนังฉายเท่านั้น

พอหนังโปรยเลยตลาดของวงการหนังไว้แล้ว ทีนี้หนังก็จะเริ่มใช้งานตัวละครคนขับแท็กซี่คนรักของชิงละ แม้ก่อนหน้านี้เมื่อชิงอยู่ในวงการหนังแล้ว เธอก็เสนอให้ชายคนรักก้าวเท้าเข้ามาเป้นนักแสดงชายด้วย มาแสดงด้วยกัน แต่ก็ถูกปฏิเสธ ภายหลังสิ่งที่บีบให้คนขับแท็กซี่เลือกตัวเลือกนี้ก็คือ เขาไม่มีเงิน ขับแท็กซี่ไม่ได้เพราะอยู่ในช่วงแท็กซี่ประท้วง แล้วเงินที่ต้องใช้ก็คือต้องรักษาอาการป่วยของลูกชาย แล้วแม้คนขับแท็กซี่จะเข้าวงการมาเป้ฯนักแสดงชาย เขาก็ไม่ได้อยู่ในสายเดียวกับชิง สายที่เขาได้ไปนั้นก็คือ หนังโป๊หนังเกย์ ที่เป็นตลาดหลักของอุตสาหกรรมหนังฟิลิปปินส์ในช่วงเวลานั้น

แล้วจุดขัดแย้งก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้แหละ เส้นทางนักแสดงของชิงดิ่งลงเหวเพราะหนังที่เธอแสดงคว่ำเละเทะเนื่องมาจากตลาดไม่เปิดรับหนังอาร์ต แต่คนรักชิงดันรุ่งกับหนังแนวที่ตลาดต้องการ สำหรับชิงก็ยังคงมองถึงการแสดงและคุณค่าในตัวนักแสดงของตัวเองอยู่ แม้จะตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางไปเป็นนักแสดงเซ็กซิมโบลที่จะมีโอกาสได้แสดงหนังร่วมกับคนรักเขา แต่สิ่งที่ทำให้เธอมีน้ำโหก็คือมุมมองของผู้กำกับหนังแนวตลาดมันย้อนแย้งกับการทำงานในกองถ่ายเหลือเกิน ชิงที่มีบทพูดเยอะกว่าผู้กำกับดันเลือกที่จะถ่ายจากด้านหลังแทน อะไรแบบนี้
แม้บางสถานการณ์ชิงจะขอความช่วยเหลือผู้กำกับที่มอบโอกาสในวงการให้กับเธอ แต่ผู้กำกับสายยุโรปก็พูดหนักแน่นไปเลยว่า เขาหมดความหวังกับวงการหนังในฟิลิปปินส์นี้ไปแล้ว
หนำซ้ำด้านมือเบื้องหลังของวงการก็เต็มไปด้วยจ้องทำลายกัน แบล็กเมล์กัน ใช้เรื่องเซ็กส์หาผลประโยชน์เข้าตัว แค่นักข่าวชายมองเป้านักแสดงชายมันก็สื่อได้ชัดเจนแล้ว

แล้วที่อึ้งเหวอแดกที่สุดก็คือฉากจบของหนังที่ไอ้สัสกำลังพีคๆ ชนิดที่ว่าเจอเข้าไปครั้งแรก ก็รู้สึกขนลุกก่อนความสงสัยตามมาในทันที หรือว่านี่ตัวหนังไม่สมบูรณ์หรือเปล่า ฟิล์มขาดหาย/ไฟล์หนังต้นทางชำรุดหรือเปล่า จนนำมาซึ่งการต้องตามหาความจริงในข้อสงสัยตรงนี้ แล้วก็พบความเป็นไปได้ที่พอจะยืนยันว่า ตอนจบของหนังมันเป็นแบบนี้จริงๆ ไม่ได้เกิดการชำรุดหรือตัวฟิล์มต้นฉบับขาดหายไปแต่อย่างใด

Body God (2022)

Body God (2022 / Prabhu Srinivas)
(India)

หนุ่มพยาบาลคนหนึ่งรับงานดูแลชายชราอัมพาตปากหมาและเย่อหยิ่งคนหนึ่ง แต่หนุ่มพยาบาลก็ดูแลได้ดีในระหว่างที่เมียของชายคนนั้นบินอเมริกาเพื่อรับขวัญหลานที่กำลังจะเกิด แต่แล้ววันหนึ่ง เชี่ย ชายชราอัมพาตตาย สิ่งเดียวที่หนุ่มพยาบาลต้องทำก็คือ การทำเหมือนชายชราคนนี้ยังไม่ตายโดยจะต้องไม่ให้ใครจับได้ หนุ่มพยาบาลขอเวลาอีกซักเดือนสองเดือนเพื่อรับเงินเดือนต่อเพราะเขาจนตรอกและจำเป็นต้องเอาเงินเดือนไปจ่ายหนี้

แต่สุดท้าย ความแตก เมียชายชรากลับบ้านมา พบสามีตนเองถูกจับยัดไว้ในตู้เย็น จากนั้นไม่นานหนุ่มพยาบาลก็โดนตำรวจจับและสืบสวนเรื่องราวการตายของชายชราอัมพาตนายเจ้าเขาว่าเป็นไงมาไง

ตัวหนังภาษากันนาดาเรื่องนี้จะเริ่มด้วยจากย่อหน้าที่สองที่ฉันเขียนไว้ จากนั้นหนังก็จะย้อนความไปสู่จุดเริ่มต้นทั้งหมดเลยอีกครั้งผ่านการสอบปากคำของตำรวจ ย้อนความที่ว่าคือไปถึงชีวิตของหนุ่มพยาบาลเลยว่าเป็นไงมาไง เจอเหตุการณ์ร้อนเงินอะไรมาถึงได้มาจมอยู่กับการเป็นพยาบาลดูแลชายชราอัมพาตคนนี้ ในเวลาเดียวกันหนังก็จะขยายความตัวชายชราปากหมาคนนี้ว่า ในภาพลักษณ์คนปากเสียพูดมากและคำพูดแต่ละคำก็ทิ่งแทงจิกกัดด้อยค่าอีกฝ่ายแบบไม่มีความเกรงอกเกรงใจกันเลย ชายชราอัมพาตก็คือคนแก่ขี้เหงาผู้ที่รักเมียและครอบครัวมากๆ คนหนึ่งนี่แหละ โดยพยานหนึ่งเดียวที่ได้พบเนื้อแท้ของชายชราอัมพาตคนนี้ก็คือหนุ่มพยาบาลเท่านั้น

ความสนุกของหนังจริงๆ คือจะเริ่มตั้งแต่ชายชราอัมพาตตาย แล้วหนุ่มพยาบาลแม่งจะทำยังไงดีวะ ทั้งการดูแลศพไม่ให้เน่าเหม็น ทั้งการโกหกตบตาเล่นละครว่าชายชราอัมพาตคนนี้ยังไม่ตายด้วยอะไรซักอย่างที่หนุ่มพยาบาลทำได้ดี พอบทจะเอาตลกเข้าใส่ซักหน่อย หนังแม่งก็เหมือนล่อซะสนุกมือเกินไปจนกลายเป็นความเบาสมองซะงั้น แต่ในหลายๆ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังชายชราตายแต่ไม่มีใครรู้มันมีความน่าสนุกดีและชวนให้ขำออกบ้างเป็นบางครั้ง
แต่ที่คาดไม่ถึงที่สุดเลยก็คือ เฮ้ คุณมึงจะทำให้หนังให้กลายเป็นหนังแอคชั่นเต็มไปด้วยการสโลเว่อร์ๆ แบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ยัดเยียดเกิน 5555

Death Whisper (2019)

Death Whisper (2019 / Awi Suryadi)
(Indonesia / South Korea)

เครดิตก่อนเริ่มหนังคือการร่วมทุนสร้างกับ CJ Entertainment แล้วช่วงเริ่มต้นหนังก็ใส่เรฟ DVD เรื่อง Whispering Corridors (1998) มาให้ได้รู้ว่าต้นทางเรฟมาจากหนังเกาหลีใต้เรื่องอะไร แล้วตอนจบก็บอกชัดไปเลยว่า Base of th flim “Whispering Corridors” ของ Park Ki-hyeong แล้วสิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ฉันสบประมาทหนังอินโดนิเซียเรื่องนี้ไปก่อนเลย ประหนึ่งว่าความดีงามที่มีในหนังนั้น มันคือรากฐานที่มีไว้ตั้งแต่หนังของเกาหลีแล้ว เอาจริงๆ Whispering Corridors ปี 1998 นี่ฉันก็ยังไม่ได้ดู เคยแต่ภาคอื่นๆ แต่เพื่อไม่ให้ฉันตีตนไปก่อนไข้ สบประมาทหนังอินโดที่รีเมคจากของเกาหลีเรื่องนี้ไปโดยยังไม่ได้รู้ข้อมูลเรื่องย่ออะไรจากตัวต้นฉบับของเกาหลีเลย ฉันจึงได้หาข้อมูลเพิ่มเติม (เสียดายไม่มีใครทำคลิปสปอยหนังเรื่องนี้เลย 😭 ) เลยอาศัยอ่านรีวิวต่างชาติเอาและกดดูตัวหนังซับอังกฤษแบบข้ามไปตอนจบเลย


ผลลัพท์ที่ได้คือ เชี่ย นี่มันคืองาน remake/adaptation ที่เหนือชั้นทรงคุณค่ามากๆ เพราะเมื่อเทียบกันคร่าวๆ แล้ว ตัวหนังรีเมคของอินโดกับตัวหนังต้นฉบับของเกาหลีใต้นั้น เนื้อหาหลักคือแทบไม่มีเหมือนกันเลย ยกเว้นไว้แค่นี่คือเรื่องสยองขวัญในโรงเรียนที่มีผีมีวิญญาณอาฆาตไล่ฆ่าล้างแค้น ที่น่าจะเหมือนกันสำหรับต้นฉบับกับรีเมค

สำหรับเนื้อหาหลักของรีเมคอินโดนี่ ถ้าไม่สนใจเรื่องที่ว่ารีเมคสร้างมาจากต้นฉบับหนังเกาหลี มันคือหนังสยองขวัญชั้นดีเรื่องหนึ่งอยู่ดี ที่นอกเหนือจากความหลอนความสยองขวัญ+Jump Scareบ้างเล็กน้อย ประเด็นหลักที่ใช้ในหนังมันก็ยัง relate ค่อนข้างมาก กับประเด็นระบบโซตัสภายในโรงเรียนมัธยมปลาย
สถานะของรุ่นน้องปีหนึ่งต้องเป็นเลยก็คือ “ทาส” และรุ่นพี่คือราชา เมื่อเจอหน้ารุ่นพี่ต้องก้มหัวสวัสดี ห้ามพูดห้ามเถียงรุ่นพี่ ห้ามใช้ห้องน้ำ ห้ามเข้าห้องสมุด ห้ามห้ามห้าม สิ่งเหล่านี้ปฏิบัติกันมาจนเป็นธรรมเนียม แล้วเพราะโรงเรียนนี้คือโรงเรียนมีชื่อที่เมื่อจบไปแล้วจะรับประกันได้เลยว่า เข้ามหาลัยดี ทำงานดี อะไรได้อีกมากมาย ตรงนี้แหละที่รุ่นพี่ใช้มาเป็นเงื่อนไขในการปิดปากรุ่นน้องไม่ให้เอาไปบอกผอ.หรือผู้ปกครองว่าตนเองกำลังโดนระบบโซตัสเล่นงาน ถ้าเรื่องหลุดไปถึงผอ.หรือผู้ปกครองมาเอาเรื่องรุ่นพี่ รุ่นน้องคนนั้นก็จะโดนหมายหัวจากเหล่าศิษย์เก่าที่มีเส้นสายในชั้นงานคุณภาพหลากหลาย เขาจะจ้องเล่นงานคุณ จนรุ่นน้องจบออกไปก็จะไม่ได้งานดีเข้ามหาลัยดีตามที่ไฝ่ฝันไว้ได้

ตัวเอกของเรื่องคือเด็กหนุ่มที่มีพ่อเป็นผู้มีญาณทิพย์ติดต่อกับคนตายได้ แต่ลูกชายไม่ได้เห็นอะไรอย่างที่พ่อเห็นหรอก จนเมื่อเขาโดนรุ่นพี่ลากตัวไปเล่นสนุกเกี่ยวกับเรื่องเล่าสยดสยองของโรงเรียน รุ่นพี่ที่รู้ว่าตัวเอกมีพ่อเป็นใครพวกเขาก็อยากให้ตัวเอกเราใช้พลังอัญเชิญวิญญาณคนตายที่โรงเรียนนี้ออกมา ซึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่กับตัวเอกที่พอรู้และสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบตัวไม่น่าไว้วางใจและเหมือนจะได้เห็นผีวิญญาณเฮี้ยนตัวเป็นๆ แล้วด้วย
ซึ่งเรื่องเล่าสยดสยองของโรงเรียนนี้ก็จะเกี่ยวกับระบบโซตัสนี่แหละ มีเด็กนักเรียนตายจากการกลั่นแกล้งด้วยน้ำมือของรุ่นพี่สองสามคน แล้ว ณ เวลานี้ตัวเอกได้ใช้พลังโดยไม่ตั้งใจอัญเชิญวิญญาณนักเรียนที่ตายไปออกมา แล้วดูเหมือนวิญญาณร้ายได้จ้องเล่นงานระบบโซตัสนี้ผ่านเหล่ารุ่นพี่ตัวดีทั้งหลายแบบถึงแก่ชีวิต

*********** เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ *************

ช่วงท้ายนี่โคตรเด็ดขาดโดยเฉพาะการ twist, จริงๆ ก็แอบสังเกตเห็นพิรุธบางอย่างได้ตั้งแต่กลางเรื่องแล้ว แต่พอถึงช่วง twist จริงๆ กลับกลายเป็นความคาดไม่ถึงขึ้นมาว่าจะเล่นไม้นี้ จริงๆ การ twist ที่เกิดขึ้นนี้ ก็ไม่แน่ใจว่ามันมีมาตั้งแต่ต้นฉบับแล้วหรือเปล่าเพราะอย่างที่บอกว่ายังไม่เคยดูต้นฉบับ แต่ไม่ว่าการ twist แบบนี้จะเป็นการหยิบยืมต้นฉบับมาหรือไม่ มันก็นับว่าเป็นปรับการให้ออกมาโคตรเหมาะแล้วเข้ากับเรื่องพวกระบบโซตัสเป็นอย่างดีเลยทีเดียว ตรงนี้แหละที่อยากจะลุกขึ้นปรบมือให้หนังเลยจริงๆ แถมหนังก็จบดีด้วยอีกต่างหาก

The Lost Virgin (2002)

The Lost Virgin (2002 / Toshiki Satô)
(Japan)

ถ้าไม่เคยดูหนังฮอง ซังซู มันก็จะไม่คิดถึงหนังของฮองขึ้นมาระหว่างดูหนังอีโรติกญี่ปุ่นเรื่องนี้เลย เพราะอย่างแรกเลยที่ทำให้นึกถึงหนังฮองก็คือ การมีซีนเสมือนเล่นซ้ำของเดิม แต่เรื่องนี้ไม่ได้มีแบ่งครึ่งแต่จะเป็นไทม์สคริปอยู่สามรอบ การเล่นซ้ำที่เกิดขึ้นก็จะเป็นรูปสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกันปรับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาที่ผ่านมา กับอีกอย่างที่ปรากฏในหนังเยอะพอๆ กัน นั่นก็คือฉากเลิฟซีน เอะอะเย็ด เอะอะเย็ด …

อย่างเรื่องการเสียซิงตามชื่อหนัง วัยเรียนนักเรียนหญิงได้เสียซิงให้กับเพื่อนชาย พอไทม์สคริปไปทีนึง ก็มีการใช้เรื่องการเสียซิงอีกครั้ง คราวนี้ปรับเปลี่ยนมาเป็น นักเรียนหญิงคนเดิมในวัยรุ่นหลังเรียนจบที่หาเงินทำงานด้วยการขายตัว ส่วนที่เสียซิงก็เป็นเด็กมหาลัยแทน แล้วรูปคำบทสนทนาก็แทบจะยกของเดิมมาใช้เลยแต่ปรับเปลี่ยนสลับบทกันไป
ส่วนเรื่องการขายตัว หนังจะเริ่มด้วยเด็กสาวนักเรียนหญิงคนเดิมนี่แหละ ที่คุยกับลูกค้าผ่านโทรศัพท์เรื่องขายตัวแบบสาวซิงแต่พอไปถึงกลับเจอโรคจิตที่ใช้กุญแจมือใส่เด็กสาวก่อนที่เด็กสาวจะวิ่งหนีออกมาได้ ไทม์สคริปไปทีนึง เด็กสาวคนเดิมก็หากินด้วยการเป็นหญิงขายบริการไปซะละ เท่านั้นไม่พอ เพื่อนสนิทวัยเรียนที่เคยคุยกันสนุกสนานถึงงานขายตัวที่สุดท้ายเด็กสาวก็ไม่กล้าทำ พอไทม์สคริปมาเด็กสาวและเพื่อนก็คือเพื่อนร่วมงานหญิงขายตัวเหมือนๆ กัน แถมบางครั้งบางคราวลูกค้าต้องการ 3P เธอและเพื่อนก็จับมือขายบริการพ่วงแบบ 3P ไปพร้อมๆ กันเลย แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน ไอ้ลูกค้าโรคจิตใช้กุญแจก็มีบทปรากฏมาอีก แต่คราวนี้สิ่งที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของไอ้โรคจิตนั้นมันเลวร้ายเกิน เสมือนว่าถ้าฉากเปิดเด็กสาวคนนั้นไม่ได้หนี เธอก็คงลงเอยเหมือนเหยื่อคนหนึ่งหลังการไทม์สคริป

สำหรับตัวละครหลักจริงๆ ตัวหลักไปเลยก็จะเป็นสาวผมสั้น อีกคนก็จะเป็นหนุ่มตัวสูงเพื่อนร่วมโรงเรียนผู้เป็นคนเปิดซิงสาวผมสั้นทั้งๆ ที่เขามีแฟนอยู่แล้ว ในวัยเรียนก็จะพบแฟนสาวของเขา ที่จะมีบทบาทเป็นส่วนเสริมที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตของหนุ่มตัวสูงคนนี้ในเวลาถัดมาหลังไทม์สคริปอีกสองครั้ง แล้วภายใต้การไทม์สคริปสองครั้ง ทั้งเขาและสาวผมสั้นก็จะหนีไม่พ้นมาเรื่องความเงี่ยนที่เกิดขึ้นต่อกันอยู่ดี แต่ไม่ว่าจะครั้งแรก ครั้งสอง หรือครั้งสาม บรรยากาศการเซ็กส์มันก็จะถูกปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ช่วงอายุที่เกิดขึ้น แรกเลยคือติดๆขัดๆ เพราะสาวเจ้ายังซิงอยู่ ครั้งสองคือเครื่องฟิตสตาร์ทติดง่าย ครั้งสาม “ต้นรถเป็นอะไรอะ” “รถเสีย สตาร์ทไม่ติดเลยอะ”…..

หรือช่วงหนึ่งสาวผมสั้นเคยซ้อนมอเตอร์ไซค์หนุ่มตัวสูง ไทม์สคริปไปท้ายสุด สาวผมสั้นก็ยังคงซ้อนท้ายหนุ่มตัวสูงเหมือนเดิมแต่เปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์มาเป็นจักรยานแทน

ชอบการคงอยู่ของกุญแจมือในหนัง ที่มันสามารถใช้เป็นเครื่องมือการเล่นซ้ำที่ดูยิ้มออกมาได้ ที่ส่งผลต่อสาวผมสั้นไม่ว่าจะตอนเรียนหรือตอนทำงานก็ตาม

Name Me (2014)

Name Me (2014 / Nigina Sayfullaeva)
(Russia)

เรื่องนี้เคยดูแบบไม่มีซับอะไรเลยแบบผ่านๆ นานละ เหตุผลก็คือ ฉากโป๊ที่ต้นทางลงเอาไว้ แล้วตอนนี้ได้ดูแบบมีซับอังกฤษรู้เรื่องซักที ส่วนฉากโป๊น่ะเหรอ ไม่ว่าจะดูแบบไม่มีซับหรือมีซับมันก็ยังรู้สึกว่าเด็ดเช่นเคยแม้จะมีไม่มากก็ตาม เอาจริงๆ นะสำหรับหนังรัสเซียเรื่องนี้ จุดขายหลักเลยในตลาด pirate มันก็คือฉากโป๊ที่มีในหนังนี่แหละ ฉันไปมาทุกที่ละทั้งบิททางยุโรปและต้นทางใหญ่ฝั่งรัสเซีย Screenshots ในทุกที่ที่ได้เจอ มันต้องใส่ภาพฉากโป๊ของหนังเรื่องนี้ไว้เหมือนกันหมดเลย 5555
แล้วผลงานการแสดงเรื่องนี้ของสองสาว Marina Vasileva กับ Aleksandra Bortich ก็เปรียบได้ดั่งผลงานการแสดงครั้งแรกของทั้งคู่เลยก็ว่าได้ (แต่สำหรับ Marina Vasileva มีผลงานทีวีซีรี่ส์มาก่อนแต่ดูจะไม่ใช่ตัวหลักอะไร เลยของยกผลประโยชน์ให้ Name Me กลายเป็นผลงานการแสดงเปิดตัวไปแทนละกัน)

เปิดเผยเนื้อหา ********

กลับมาว่าถึงเนื้อหาหนัง ตัวละครหลักของ Olya กับ Sasha เด็กสาววัยรุ่นสองคนเพื่อนสนิทที่เดินทางจากเมือง Moscow มายังชุมชนเล็กๆ อย่าง Alupka ห่างไกลความเจริญที่ใช้สกุลเงินคนละอย่างกัน เป้าหมายก็เพื่อต้องการมาพบ Sergey พ่อจริงๆ ของ Olya ที่ตัว Sergey เองก็ไม่รู้หรอกว่าเขามีลูก แต่ด้วยความกลัวประหม่าและไม่กล้าของ Olya จึงอยากล้มเลิกเป้าหมาย Sasha เลยคิดแผนแบบนี้แทน เอาเป็นว่าเราสองคนมาสลับชื่อกัน น่าจะทำให้การเข้าหาพ่อของ Olya ง่ายกว่าเมื่อไม่ใช่ตัว Olya เองที่กลัว แล้วก็ทำสำเร็จ Sasha ได้กลายเป็นลูกสาวของเขาภายใต้ชื่อ Olya ส่วน Olya ตัวจริงก็รับบทเพื่อนไปแทนภายใต้ชื่อ Sasha
หนังวางคาแรกเตอร์สองสาวไว้อย่างชัดเจน Sasha คือสาวมั่นสาวปาร์ตี้สาวแรดสาวเที่ยวแต่งตัวโป๊ๆ ส่วน Olya คือตรงกันข้ามเลย เธอเรียนที่ดีๆ ฉลาดและเรียบร้อยสุภาพอ่อนโยน แล้วระหว่างที่ทั้งสองสาวอยู่กับ Sergey ที่เป็นง่ายๆ ไม่มีรู้สึกหงุดหงิดรำคาญอะไรกับลูกสาวและเพื่อนมากนัก ก็มีไม่พอใจบ้างเมื่อเห็นลูกสาว(ตัวปลอม)ทำตัวแรดพุ่งเข้าหาผู้ชาย แต่ในเวลาเดียวกันลูกสาว(ตัวจริง)ก็คุยกับ Sergey ได้ง่ายขึ้นไม่ประหม่าซักเท่าไหร่ แต่เธอก็ไม่ค่อยพอใจเพื่อนสาวที่เอาชื่อของเธอไปทำตัวแรดร่านอะไรแบบนั้นผ่านสายตาของ Sergey พ่อของเธอ

จุดเปลี่ยนของหนังคือช่วงกลางเรื่อง ที่ Sergey ให้สองสาวดื่มเหล้าฉลอมครอบครัวอะไรก็ว่ากันไป แล้วเมื่อทั้งหมดเมา การเล่น truth or dare มันก็ทำให้ความจริงบางอย่างจากปาก Sergey ที่เมาปรากฏออกมา เป็นความจริง ณ ช่วงเวลาที่เขาเจอแม่ของ Olya แล้วความจริงตรงนี้มันทำให้ Sergey กลายเป็นเหี้ยไปในทันทีในสายตาของลูกสาวตัวจริง
ตรงนี้แหละที่ทำให้ครึ่งหลังเรื่อง สองสาวได้เปลี่ยนตัวตนแทบจะสลับขั้วกันเลยก็ว่าได้ Sasha กลายเป็นเห็นอกเห็นใจ Sergey ทำตัวเรียบร้อยไม่เอาแต่ใจแล้วรู้สึกแฮปปี้ชอบที่อยู่ใกล้ๆ Sergey แม้จะแอบติดรถตามไปดูว่า Sergey ทำงานอะไรตอนกลางคืน Sasha ก็จะทำ มันให้ความรู้สึกว่า Sasha ต้องการ Sergey ในฐานะพ่อละตอนนี้ ผิดกับ Olya จากสาวเรียบร้อยที่เมื่อธาตุไฟเข้าแทรก เธอก็อยากปลดปล่อยตัวเอง แล้วไปจบที่ปาร์ตี้อัพยาและถูกเย-ด

จากนั้นก็เหลือแค่เฝ้ารอเวลาว่า มันเมื่อไหร่ความจริงจะปรากฏต่อ Sergey เรื่องการสลับชื่อกันของลูกสาวกับเพื่อนลูกสาว แล้วถ้าความจริงปรากฏ Sergey จะตอบสนองกับเรื่องตรงนี้ด้วยท่าทีแบบไหนกัน

จุดที่แย่ที่สุดในสายตาฉันที่ทำให้ความชอบหนังดรอปลงไปมากในทันทีเลย นั่นคือการที่ฉันเฝ้ารออยู่ว่า “เพราะอะไร/ด้วยเหตุผลอะไร” ที่ทำให้ Sasha กลายมาเป็นคนเห็นอกเห็นใจและอยากอยู่ใกล้ชิด Sergey แบบนี้
คือสำหรับการเปลี่ยนแปลงของ Olya จากหน้ามือเป็นหลังหีมันลงตัวชัดเจนอยู่แล้ว แต่กับ Sasha ล่ะ คำตอบคือ ไร้เหตุผลใดๆ ทั้งนั้น พอทุกอย่างมันไร้เหตุผลไร้หลักการ การเปลี่ยนแปลงของ Sasha เลยมีแต่ความเบาหวิวที่ไร้น้ำหนักและความน่าเชื่อถือ มันเลยทำให้การสร้างภาพให้ Sasha เปลี่ยนแปลงไปมันก็แค่อยากให้เป็นอีกขั้วของ Olya ที่เปลี่ยนแปลงไปก็เท่านั้น

เอาจริงๆ ฉันก็มีคำตอบอยู่ในหัวแล้วเช่นกันนะ แค่รอว่าคำตอบจากในหนังมันจะตรงกับคำตอบในหัวฉันหรือไม่ ผลปรากฏว่า ไม่ใช่ว่ะ คำตอบในหนังแม่งหลักลอยเกินไป สำหรับคำตอบในหัวฉันมันก็อยู่ในชวงที่ความจริงจากปาก Sergey ตอน truth or dare นั่นแหละ
Sergey เขาถูกคนรักทิ้ง แล้วไปจบที่ด้วยเย-ดกับผู้หญิงคนนึงที่หาด ที่ภายหลังผู้หญิงคนที่เขาเย-ดก็ทิ้งเขา ผู้หญิงคนนั้นก็คือแม่ของ Olya ที่ตั้งท้องแล้วคลอดลูกที่มอสโคล ตรงนี้แหละสำหรับการเชื่อมโยงคำตอบในหัวของฉัน มันก็จะได้ว่า เหตุผลที่ Sasha อยากใกล้ชิด Sergey อยากได้เขาเป็นพ่อ มันก็เพราะ คนรักของ Sergey ที่ทิ้งเขาไปนั้น มันก็คือแม่ของ Sasha นั่นเอง … อันนี้คือความคิดในหัวของฉันนะ ที่ไม่ว่าจะมองยังไง(มองเข้าข้างตัวเองก็ได้) มันก็จะดูสมเหตุสมผลกว่าคำตอบในหนังที่ว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของ Sasha ที่มีต่อ Sergey มันก็คือ Sasha รักเขา …. แค่เนี่ย !!!! บ้าน่า

A Nightmare on Elm Street (1984)

A Nightmare on Elm Street (1984 / Wes Craven)
(USA)

ตอนเด็กจำได้ว่าเคยดู “นิ้วเขมือบ” เมื่อตอนเด็กๆ จำไม่ได้ด้วยภาคไหนแล้วตอนเด็กๆ ก็ไม่รู้ด้วยว่าหนังจริงๆ มันชื่อว่าอะไร รู้แค่ว่ามันคือเรื่องนิ้วเขมือบ มีเฟรดดี้ครูเกอร์ จำได้บางฉากติดอยู่ในความทรงจำแค่นั้นเอง
จนเริ่มเมื่อโตมาถึงเริ่มได้รู้ว่าชื่อหนังมันคือ A Nightmare on Elm Street และภาคแรกที่ได้ดูเต็มๆ ก็ดันเป็นภาครีเมคปี 2010 อีกนะ ถึงกระนั้นฉันก็จำไอ้ภาครีเมคปี 2010 แล้วไม่ได้อยู่ดี

พอจำที่เคยดูตอนเด็กไม่ได้และจำภาครีเมคปี 2010 ไม่ได้ มันจึงทำให้ฉันสามารถดูภาคแรกสุดนี้ด้วยความรู้สึกที่สดใหม่ต่อแฟรนไชส์ชุดนี้เอามากๆ เอาแค่ศพแรกที่ตายนี่ก็เล่นเอาหลอนสัสๆ แล้ว ส่วนฉากที่น่าจดจำที่แมสที่สุดของภาคนี้กับฉากของ Johnny Depp นั้น แม้จะเคยผ่านตาจากภาพนิ่งมาก่อน แต่เมื่อดูแบบเต็มๆ ฮึ่ย ขนลุกเลย
สำหรับฉากพร้อมดวลกับเฟรดดี้ของแนนซี่ในช่วงท้ายนั้น ทำไมน้อ มันถึงดูไม่ลุ้นระทึกเอาซะเลย การเตรียมตัวเตรียมแผนของแนนซี่ทั้งหมดที่พอเฟรดดี้พลาดท่ามาเข้าทางโดนเล่นงานด้วยอุปกรณ์หลายอย่างที่แนนซี่วางกับดักเอาไว้ ฟีลฉากนี้มันทำให้นึกถึง โดดเดี่ยวผู้น่ารัก Home Alone (1990) ขึ้นมาเลย 5555 แล้วก็ทำให้ชวนสงสัยไปอีกว่า Home Alone ได้แรงบันดาลใจการวางกับดักโจรมาจากฉากนี้ใน A Nightmare on Elm Street หรือเปล่าน้อ …

ส่วนตอนจบของหนัง คือ พอมาดูในยุคนี้มันก็จะเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจใดๆ ทั้งนั้นในตอนจบของหนังที่เต็มไปด้วยฟีลลิ่งแฮปปี้เอนดิ้งสุดๆ แบบนี้ แล้วผลสุดท้ายความคิดนี้มันก็เป็นจริง นี่ก็อยากรู้ความรู้สึกของผู้คนที่ได้ดูในช่วงเวลานั้นนะ เจอตอนจบแบบนี้ จะเหวอแดก/ช็อคกันขนาดไหน

Sore demo Ai wo Chikaimasu ka? / Will You Still Pledge Me Your Faithful Love? (Season 1, 2021)

Sore demo Ai wo Chikaimasu ka? / Will You Still Pledge Me Your Faithful Love? (Season 1, 2021 / Nanako Hirose, Shoichi Morimoto, Hideki Hashimoto, Yuya Watanabe)

ซีรี่ส์แนวคู่รัก/ชีวิตคู่/สามี-ภรรยา ที่จุดเริ่มการทำให้ชีวิตคู่ของจุนกับทาเคโยชิสั่นคลอนก็คือ แม้ทั้งคู่จะมีชีวิตคู่ที่มีความสุขแต่สิ่งหนึ่งที่มันขาดหายไปจากความรู้สึกของจุนก็คือ เซ็กส์และการมีลูก ทั้งคู่แต่งงานมาแล้วแปดปี แต่ในช่วงปีที่สามเป็นต้นไปทั้งคู่ก็ไม่ได้มีเซ็กส์กันอีกเลย นับวันเวลาก็ล่วงปาเข้าไปปีที่ห้าแล้ว แล้วนอกเหนือจากเรื่องภายใน มันก็ยังมีปัจจัยภายนอกที่เข้ามาขย่มให้ชีวิตคู่ของทั้งสองแทบจะพร้อมพังทลายลงได้ไม่ยาก ปัจจัยภายนอกนั้นก็คือ ถ่ายไฟเก่า กับ รสชาติใหม่ๆ ที่อยากสัมผัส

แม่เลี้ยงเดี่ยวเพื่อนสมัยเรียนของทาเคโยชิที่เข้ามาติดพันประดุจถ่ายไฟเก่ารอวันรื้อฟื้น อีกฝั่งของจุนที่ตัดสินใจกลับมาทำงานอีกรอบหลังจากแต่งงานไปก็ลาออกจากงานเพื่อมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวแต่แปดปีไปผ่านชีวิตที่ไม่มีลูกมันทำให้จุนต้องมองก้าวต่อไปของตัวซักหน่อยซึ่งทางที่ทำให้เธอสบายใจก็คือการหางานทำ แล้วก็ไปจบที่บริษัทโฆษณา ที่นี่เองจุนได้พบกับหนุ่มคนหนึ่ง ที่ทำตัวแปลกมีโลกส่วนตัวสูงสวมแมสตลอดเวลาและไม่ชอบเข้าสังคม แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ทั้งคู่ก็เข้ากันได้เป็นอย่างดีผ่านการเล่นเกมอักษรไขว้แข่งกัน หนุ่มปิดตัวที่เปิดใจให้จุน ส่วนจุนก็ได้มิตรภาพดีๆ ที่ทำให้ชีวิตเธอมีความสุขมากกว่าเก่า

สำหรับทาเคโยชินั้น จุนคือคนที่สำคัญที่สุด แต่การรุกหมายตาการเป็นเจ้าของหนุ่มเพื่อนเก่าของแม่เลี้ยงเดี่ยวมันก็หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ในฝั่งของจุน สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ค่อยกระเทาะเปลือกหนุ่มเพื่อนร่วมงานมากยิ่งขึ้น เพราะการเป็นคนไม่มีสังคมอาศัยอยู่กับครอบครัวและไม่เปิดใจให้พวกผู้หญิง มันทำให้เมื่อเขาตกหลุมรักจุนทั้งๆ ที่รู้ว่าอีกฝ่ายแต่งงานแล้ว มันเหมือนความรักที่ทำให้คนๆ หนึ่งหน้ามืดตาบอดไม่รู้ผิดรู้ถูก ซึ่งมันก็ยากสำหรับจุนเช่นกันที่ต้องรักษาระยะห่างเพราะเธอก็รู้สถานะตัวเองดีว่าเป็นคนที่แต่งงานแล้ว ระยะห่างที่มันก็ควรหยุดไว้ที่มิตรภาพแบบเพื่อนเท่านั้นพอ

รู้สึกชอบซีรี่ส์มากๆ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เนื้อหามันก็ไม่พุ่งไปที่การใช้งานพลอตเชิงชู้หนุ่ม-ชู้สาวที่มีปลายทางเป็น 0 ไม่ก็ 1 อย่างการทำให้ชีวิตคู่ไม่ทู้ซู่อยู่กันต่อก็เลิกลาตัดขาดซึ่งกันและกันไป คือตอนแรกระหว่างรับชมก็คิดว่ามันคงมีปลายทางไปในทิศทางนี่นะ แต่พอถึงจุดๆ นั้นจริง ปลายทางมันสามารถเดินทางไปแตะได้ทั้ง 0.5 ไม่ก็ -0.5 คือการไม่ทู่ซี่หรือเลิกลาหรอก ถ้าแบบนั้นมันก็ง่ายเกิน สิ่งที่ซีรี่ส์ทำคือการลงไปให้ลึกถึงปัญหามากที่สุด นั่นก็คือ ณ จุดเริ่มเลย การจะเข้าใจปัญหา ณ จุดเริ่มต่อกันมากที่สุดก็คือ การคุยกัน แต่ถ้ามันไปต่อไม่ได้ มันก็เหลือทางเดียวคือพอแบบสมยอมทั้งสอง แล้วที่ไม่ง่ายที่สุดเลยก็คือ ความรู้สึกของทั้งคู่ที่ต้องเผชิญหน้าปัญหานี้ มันหนักมันยากมันทำให้ต้องหันหน้าสู้อย่างแข็งแกร่งและมันทำให้เกิดความอ่อนแอเปราะบางแบบที่ไม่คิดว่าจะเกิดอีกด้วย ในเวลาเดียวกันสถานการณ์ของคู่หลักมันก็ส่งผลต่อบุคคลปัจจัยภายนอกด้วยเช่นกัน ทั้งการถอยห่าง รอความหวัง หรือจบแบบเจ็บๆ กันไป

ตอนแรกที่ได้ดูซีรี่ส์นี้ ก็คิดว่ามันเป็นแค่ซีรี่ส์ที่จบในซีซั่นเดียวนะ เพราะเนื้อหาเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายทางมันก็เหมือนจะสามารถจบลงได้เช่นกัน แต่พอถึงตอนจบซีรี่ส์จริงๆ มันก็เกิดการตั้งคำถามต่อว่า หรือว่านี่มันไม่ใช่ซีรี่ส์ที่จบในซีซั่นเดียวหว่า เพราะจากเนื้อหาช่วงปลายทางนี้มันดูสามารถผลักดันไปได้อีกค่อนข้างมาก รวมไปถึงตัวละครปัจจัยภายนอกที่ไม่น่าจะสิ้นสุดลงไม่คุ้มค่าแบบนี้นะ เพราะถ้าซีรี่ส์ลงเอยแบบนี้ ตัวละครปัจจัยภายนอกมันก็สามารถหาช่องทางเดินหน้าวนเวียนในความสัมพันธ์ของตัวละครหลักได้อยู่ …พอหาข้อมูลเพิ่มก็ชัดเจนว่า นี่คือซีซั่น 1 ไม่ใช่ซีรี่ส์ที่จบในซีซั่นเดียวแน่นอน สเตตัสของซีรี่ส์นี้บนเวปฐานข้อมูลยังคงขึ้นไว้ว่า continue

Longtake 4 นาที ใน EP 9 นี่คือจุดพีคที่สุดของที่สุด มันคือการ expose เนื้อในตัวละครทั้งสองอย่างถึงพริกถึงขิงมากๆ ที่ไม่ว่าหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรตาม แต่นี่คือ Real ความรู้สึกของทั้งสองอย่างแท้จริง

ตัวซีรี่ส์สร้างมาจากมังงะผู้หญิง (Josei Manga) ชื่อเดียวกัน ที่ออกมา 8 เล่มจบไปแล้ว

Aviyal (2022)

Aviyal (2022 / Shanil Muhammed)
(India)

สิ่งแรกที่ทำให้อยากดูเลยก็คือการได้รู้ว่ามันคือเรื่องราวชีวิตของนักดนตรีคนหนึ่ง
แต่เมื่อได้ดูจริงๆ มันคือเรื่องราวความรักของชายคนหนึ่งที่เล่นดนตรีเท่านั้น

โดยจะเริ่มด้วยปัจจุบัน โปรดิวเซอร์ชายกับลูกสาวที่อกหักช้ำรักจากผู้ชายโทรมาระบายกับพ่อ แล้วระหว่างการเดินทางลูกสาวก็ถามพ่อเกี่ยวกับชีวิตรักของพ่อ จากนั้นหนังก็ย้อนชีวิตของพ่อในแต่ละวัยให้เราได้ดูกัน ทั้งวัยเรียน วัยรุ่น วัยหนุ่ม และวัยผู้ใหญ่ ที่ทั้งหมดล้วนมีเรื่องดนตรีมาเกี่ยวกับเขาทุกช่วงแล้วส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้คือเรื่องความรักของพ่อกับผู้หญิงที่พ่อในแต่ละวัยนั้นๆ

ในทุกช่วงการเล่าย้อน มันก็มีความเป็นหนังสามองค์อยู่เช่นกัน ที่ทุกเรื่องราวความรักของตัวพ่อในสมัยก่อนล้วนจบลงไม่สวยเหมือนกันหมด จริงๆ ก็(โคตร)น่าเห็นใจเรื่องราวความรักของพ่อในแต่ละวัยอยู่นะ เพราะเอาเข้าจริงรักที่ล้มเหลวของพ่อในแต่ละวัยนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นจากฝั่งตัวพ่อเลยก็ว่าได้ ในวัยเด็กเมื่อเทียบความรักของพ่อเขาที่แค่ยืนเราให้ของขวัญพ่อก็ได้แม่เป็ฯคนรักแล้ว แต่มันไม่ใช่สำหรับตัวเด็กในยุคหลังนี้ที่ไม่ง่ายเหมือนสมัยของพ่อเขา

ส่วนหนึ่งที่ทำให้พ่อในวัยเรียนเข้าสู่วงการดนตรีก็คือ คนที่แอบปิ๊งอยู่คือคนที่มีเสียงดีนำสวดมนต์หน้าเสาธงทุกเช้า ดังนั้นเพื่อนๆ ก็ยุให้พ่อในวัยเรียนเข้าหาสาวที่ชอบคนนี้ผ่านการเล่นกีต้าร์แทน ก่อนจะสนิทสนมแล้วนำไปสู่ขั้นสุดท้ายที่จะยกระดับความสัมพันธ์ไปสู่คำว่าเป็นแฟนกันนะ ความจบไม่สวยในเรื่องความรักของพ่อในวัยเรียนก็คือ หญิงที่เขาแอบชอบเธอมีคนที่ชอบอยู่แล้วแล้วสำหรับความสัมพันธ์ของเธอกับพ่อในวัยเรียนมันก็คือ “เพื่อนสนิท” เท่านั้น
เมื่อมาสู่พ่อในวัยรุ่น พ่อในวัยรุ่นที่เล่นดนตรีเก่งอยู่แล้ว ก็ได้พบรักแอบปิ๊งกับหญิงอายุเยอะกว่าที่อยู่กับเพื่อนของพ่อแล้วการเข้าหาเธอคนนั้นก็ผ่านทางลูกชายเธอที่สนใจเรื่องกีต้าร์ อยากให้พ่อในวัยรุ่นเป็นครูสอนให้ พ่อในวัยรุ่นก็ไม่ปฏิเสธเพราะมันคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้สามารถเข้าหาหญิงอายุกว่าคนนั้นได้ แล้วก็แน่นอน แม้ตัวพ่อในวัยรุ่นจะไม่แคร์เรื่องสายตาชาวบ้านเพราะยังเด็กแต่ไม่ใช่กับหญิงอายุเยอะคนนั้น แล้วเราก็คงคาดเดาได้ว่าปลายทางที่จบไม่สวยในเรื่องความรักของพ่อในวัยรุ่นมันจะออกมาในรูปแบบใด ถ้าไม่ใช่การถูกเข้าใจว่า “มึงมาตีท้ายครัวเมียกูเหรอ” จากผู้ใหญ่เพื่อนของพ่อ
สำหรับพ่อในวัยหนุ่ม เรียกได้ว่าคือจุดพีคด้านอาชีพนักดนตรีของเขาเลยก็ว่าได้ มีวงเล่นดนตรีตามร้านอาหาร แต่มาถูกโฉลกกับสาวสมัยใหม่คนหนึ่งผ่านการเล่นเพลง Purple Haze ของพ่อในวัยหนุ่ม แล้วจากนั้นทั้งคู่ก็สนิทใกล้ชิดกันสุดๆ เที่ยวเล่นกัน หลับนอนกัน แต่แล้วสิ่งที่มาพรากความรักที่จริงจังของพ่อในวัยหนุ่มที่มีให้สาวคนนี้ก็คือ การเป็นสาวสมัยใหม่หัวก้าวหน้านี่แหละ พ่อในวัยหนุ่มคือรักจริงอ่ะคนนี้ แต่กับสาวสมัยใหม่เธอมองความสัมพันธ์ของตนเองกับพ่อในวัยหนุ่มว่ามันไม่ใช่ความรักมันเป็นแค่ความสนุกเอนจอยของชีวิตก็เท่านั้น ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของเซ็กส์ … ช่วงเวลาตรงนี้ของพ่อในวัยหนุ่มนี่เรียกได้ว่า พังยับของจริง

แล้วสุดท้ายชีวิตของพ่อในวัยผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่ปัจจุบันที่คุยกับลูกสาว ดูเหมือนว่าเขามีครอบครัวแต่ชีวิตเขามีดนตรีเป็นงานอดิเรกแล้วสิ่งที่พ่อในวัยผู้ใหญ่นี้ให้ความสำคัญมาเป็นอันแรกสุดเลยก็คือ กลุ่มเพื่อน ไม่ได้คิดถึงอนาคต ไม่ได้สนใจภรรยา ไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตตนเอง เรียกได้ว่า พ่อในวัยผู้ใหญ่ตรงนี้ เขาได้พบบทเรียนในชีวิตที่ไม่อาจลบเลือนไปได้เลย ทั้งคุณค่าความสำคัญและความรักที่ควรเอาใจใส่ ไม่ใช่การมองแค่ตัวเองเท่านั้นเหมือนที่ผ่านๆ อีกต่อไป

ตอนจบของหนัง …กั๊กฉิบหาย

กล่าวคือในภาพรวมของหนังอินเดียภาษามลยาฬัมเรื่องนี้ มันก็เป็นแค่เรื่องราวของคนๆ หนึ่งในแต่ละช่วงเวลาเท่านั้นแหละ แต่ฉันดันคาดหวังผิดจุดไปก็เท่านั้นเอง ดันไปคาดหวังเรื่องของดนตรีในหนังที่ท้ายที่สุดมันดันเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งที่ไม่ใช่ส่วนสำคัญ ซึ่งถ้าเกิดว่าฉันรู้ว่าหนังมันเป็นแนวไหนมาก่อน ฉันก็คงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปก่อนแล้วแหละ

A Copy of My Mind (2015)

A Copy of My Mind (2015 / Joko Anwar)
(Indonesia / South Korea)

“นี่ๆ ไปเลือกหนัง DVD ห้องเรามั้ย”

การพบกันของสาวนวดหน้าผู้คลั่งไคล้หนังสัตว์ประหลาดและชอบซื้อแผ่นผี แต่เปิดมาเจอซับนรกเลิกดูเลย และหนุ่มผู้แปลซับผ่าน google translate ส่งให้เครือข่ายปั้มแผ่นผีขาย การเจอกันในที่นี่ก็คือการมาคอมเพลนซับห่วยจากร้านแผ่นผีที่เธอซื้อโดยหนุ่มผู้แปลก็นั่งพักอยู่ที่ร้านนั้น แล้วทั้งคู่ก็ได้พูดคุยกันจนสุดท้ายก็ก่อให้เกิดการชักชวนของหนุ่มว่า เพื่อเป็นการแสดงความรับผิดชอบ คุณมาเลือกหนัง DVD ที่ห้องผมได้นะ (กึ่งๆ บีบบังคับ) แต่เมื่อสาวไปถึงห้องหนุ่ม สาวก็ตาวาวกับหนังของเขา เอาแผ่นนึง เอาสองแผ่น เอาสามแผ่น เอาหมดเลยได้ป่ะ ก่อนหนุ่มจะบอกว่า นี่คือที่ทำงานแปลหนังของผม เปิดโน้ตบุคขึ้นมาแต่ลืมไปว่า ตัวเองได้รับงานแปลหนังโป๊คาไว้อยู่ !!!

ครึ่งเรื่องเข้าไปมันก็คือหนังรักดีๆ นี่เอง ดูไปฟินไปพร้อมกับได้รู้จักตัวละครสองตัวนี้ละเอียดไปด้วย เธอเป็นคนยังไง เขาเป็นคนยังไง สิ่งที่เข้ากันได้ดีก็คือรสนิยมการชอบดูหนัง ไม่เว้นแม้แต่ตอนจะมีเซ็กส์กัน เธอถาม มีหนังโป๊ป่ะ เขาบอกไม่มีอ่ะ ตอนนี้มีแต่หนังโป๊เกย์ที่กำลังแปลอยู่ เธอบอกเอามาเปิดได้ป่ะ ไม่เคยดูเลย เขาบอกอย่าเลยแต่ก็ห้ามอีกฝ่ายไม่ได้ ระหว่างโยกกันเมามันเธอก็จับหน้าเขาให้หันไปดูหนังโป๊เกย์ที่กำลังกระแทกอย่างดุเดือด 55555 หมดมู้ดเลยมั้ยล่ะพ่อหนุ่ม

ความอินในรูปแบบหนังรักที่ดูยิ้มไปในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าครึ่งหลังมันจะตบเข้าสู่ความซวยกับเรื่องการไปเกี่ยวพันกับสิ่งที่อันตรายโดยไม่รู้ตัว แม้จุดเริ่มจะดูฝืนๆ ไป แต่มันก็สามารถเกิดขึ้นได้ใช่ป่ะ ยิ่งกับนิสัยสาวนวดผู้รักการดูหนังคนนี้ด้วยแล้ว(ฉันก็เคยเป็นแบบนี้ แอบแฮบ VCD หนังโป๊เพื่อนตอนเพื่อนออกไปซื้อข้าว..จุ๊ๆ)
แล้วที่ชอบมากที่สุด คือบทสรุปของแผ่น DVD แผ่นนั้นที่ลงตัวเชี่ยๆ เพราะทุกอย่างมันคือการปูไว้มาหมดแล้วตั้งแต่ครึ่งแรกทั้งหมดสำหรับการใช้งานแบบทรงประสิทธิผลในบทสรุปตรงนี้

สำหรับชื่อหนัง มาเก็ทและปลาบปลื้มใจสุดๆ ก็ในตอนจบของหนังนี่แหละ ♥

Planet of Amoebas (2018)

Planet of Amoebas (2018 / Yasushi Koshizaka)
(Japan)

เรย์ (Nanami Kawakami) นักสืบสายแบล็กเมล์มีกล้องจิ๋วอุปกรณ์ชั้นดีที่เพิ่งได้มาใหม่ วันหนึ่งเธอแสงประหลาดหล่นมาจากฟากกลางดึก เธอขับตามไปก็พบผู้หญิงท้องนอนร้องด้วยความเจ็บปวดทั่วตัวโดนเมือกสีแดงคล้ายสไลม์มัดรัดอยู่ เรย์ไม่สามารถช่วยได้เลยโทรเรียกรถพยาบาลแล้วตนเองก็หลบฉากออกมาจากเหตุการณ์นั้น
วันรุ่งขึ้นเรย์ถูกตำรวจเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยปกป้องประเทศเชิญตัวไปสอบปากคำเกี่ยวกับเรื่องที่เรย์โทรแจ้งไป สิ่งที่ต่างออกไปจากที่ตำรวจคุยกับเธอก็คือตำรวจไม่เห็นว่ามีเมือกแดงๆ อะไรเลยนะตอนไปพบเหยื่อคนนั้นที่ภายหลังได้เสียชีวิตลงพร้อมเด็กในท้อง แล้วพวกเขาก็หมดธุระกับเรย์แต่เรย์ขอเกาะติดซักหน่อยโดยเอากล้องจิ๋วตามสืบการพูดคุยของพวกระดับสูงต่อ ก่อนจะเรื่องให้นักสืบชายที่ชอบเรื่องแบบนี้สานต่อสืบเรื่องน่าสงสัยที่เป็ฯความลับทางราชการระดับสูงแบบนี้ นักสืบชายก็สืบไปได้เยอะแล้วพบว่ามีเหยื่อหญิงสาวหายตัวไปอย่างไร้รอยจำนวน 6 คนมาแล้ว แล้วหลังจากนั้นไม่นาน นักสืบคนนี้ก็โดนไล่ตามวันถัดมาเรย์ก็พบข่าวว่า เพื่อนนักสืบของเธอได้เสียชีวิตลงไปแล้ว

แล้วด้วยเหตุผลนี้ที่ทำให้เรย์พยายามตามสืบเรื่องต่อจากนักสืบที่ทิ้งข้อมูลผ่านอีเมล์ไว้ที่น้องสาวเรย์ ทว่า การพยายามตามสืบเรื่องเหยื่อพวกผู้หญิงที่หายตัวแล้วเมืองแดงคล้ายสไลม์ มันกลับส่งผลให้น้องสาวเรย์ที่บังเอิญจะมาหาพี่ โดนเมือกสไลม์เล่นงานแล้วพาตัวน้องเรย์ขึ้นไปบนฟ้าโดยที่เรย์ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แล้วเนื้อหาหลังจากนั้นก็คือการขยายความการทำงานของพวกหน่วยป้องกันประเทศที่กำลังตามเรื่องสิ่งลี้ลับบนท้องฟ้านี้อยู่ พวกเขาพยายามหยุดยั้งแม้กระทั่งการวางเหยื่อล่อให้โดนดึงไปบนยานจากทหารของหน่วยตัวเองพวกเขาก็ทำมาแล้ว เรย์ที่ต้องการช่วยน้องแต่พวกเจ้าหน้าที่หน่วยกลับไม่ให้ความร่วมมือ จนกระทั่งแผนพวกเขากับเหยื่อล่อเหมือนไม่เป็นผล เลยเปลี่ยนแผนมาใช้งานเรย์โดยที่เรย์ไม่ทันตั้งตัว แต่อย่างน้อยมันก็เป็นตามความตั้งใจของเรย์ที่ต้องการปกป้องและพยายามช่วยเหลือน้องสาวจากเหตุการณ์ครั้งนี้ให้จงได้

สำหรับสไลม์ เราๆ ก็คงมีภาพจำในหัวกันอยู่แล้วใช่ป่ะ การโจมตีเล่นงานของสไลม์นั้น หลักก็คือการละลาย “ที่จะละลายเฉพาะเสื้อผ้าเท่านั้น” 55555 แล้วสิ่งที่ลึกไปอีกระดับที่สไลม์ทำได้นอกเหนือจากการละลายเสื้อผ้าผู้หญิงแล้วก็คือ การเป็นของเหลวเหนียวๆ ลื่นๆ ที่สามารถสอดใส่เข้าไปทางจิ๋-มของผู้หญิงได้นั่นเอง แล้วตรงนี้แหละที่ทำให้เหยื่อสาวที่พวกสไลม์จับไปตั้งท้องขึ้นมา

ชอบความทุนต่ำในการสร้างสไลม์สีแดงขึ้นในหนัง มันคือการใช้ถุงพลาสติกสีแดงคลุมตัวง่ายๆ แค่นั้นเอง แล้วขยับเขยื้อนให้ดูเป็นก้อนๆ เข้าหาพวกเหยื่อ 5555

แล้วก็ชอบตอนจบนะ คือมันสามารถทำให้ทุกอย่างผ่านพ้นสงบสุขและมีความสุขได้ แต่ไม่ทำหรอก สิ่งที่ตอนจบของหนังมอบให้คือความสิ้นหวังและดิ่งสำหรับผลกระทบ/สิ่งที่ตัวหลักต้องเจอหลังจากผ่านเรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดนั่นมา