Archive | June 2022

Juvenile Justice (TV Series, 2022)

Juvenile Justice (TV Series, 2022 / Hong Jong-Chan)
(South Korea)

อื้อหือ คดีแรกอย่างเดือดและโหดจริง กับเยาวชนและการฆ่าหั่นศพเด็กที่อายุไม่ถึง 10 ขวบ แต่ถ้าคาดหวังไว้ว่ามันจะแรงแบบคดีแรกตลอดไป ก็คงจะผิดหวังในส่วนนี้ เพราะประเด็นหลักจริงๆ แล้วที่ซีรี่ส์เรื่องนี้พุ่งเน้นไปก็คือเรื่องของเยาวชนเท่านั้น ที่เรียกได้ว่าลงลึกและละเอียดในแบบที่ผู้ใหญ่บางคนอาจจะไม่เคยรับรู้,ตระหนักถึงเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเยาวชนที่เป็นผู้กระทำผิดหรือเยาวชนที่เป็นเหยื่อ แล้วเรื่องของพวกเยาวชนที่ไม่ว่าจะกระทำผิดหรือเป็นเหยื่อก็ตาม ล้วนส่งผลกระทบถึงผู้ใหญ่ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะโดยตรงสู่พ่อแม่ผู้กระทำผิดหรือพ่อแม่เหยื่อหรือโดยอ้อมจากมุมมองความคิดและการกระทำบางอย่างลงไป

จะเห็นได้เลยว่าเรื่องของเยาวชนทุกคดีมันมีความหนักอึ้งเหมือนกันหมด สำหรับในส่วนของพวกดราม่าทั้งหลายจะตกไปอยู่กับพวกผู้ใหญ่ที่ทำงานศาลแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะดราม่าเศร้าหรือตีกันเองจนแทบจะกลายเป็นเรื่องภายในองค์กรหน่วยงานเดียวกันเองนี่แหละ

แต่ก็ต้องก้มกราบเรื่องการเขียนบทที่ลงลึกโดยละเอียดต่อคดีเยาวชนที่ท้ายที่สุดมันก็ไม่มีหลุดกรอบของคำว่า การทำหน้าที่ของศาล เลยซักครั้งเดียว แม้บางเคสจะสามารถไหลไปสู่การต้องทวงความยุติธรรมคืนมาแต่ถ้าจะให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้นมันก็จะฝืน/แหกสิ่งที่ทำหน้าที่แข็งแรงมาตลอดในหนังอย่าง การทำหน้าที่ของศาล ตัดสินผิดถูกลงโทษแก่เยาวชน ถ้ามันเกินเลยแหกกรอบไปมากกว่านี้ มันก็ทำได้แต่จะกลายเป็นลดทอนความสมจริงในกระบวนศาลที่ซีรี่ส์ลงหนักไว้ตั้งแต่ต้นมา (แต่จริงๆ มันก็แอบย้อนแย้งนะถ้าจะยกเรื่องความสมจริงมา เพราะตัวซีรี่ส์เองก็มีเน้นบอกกันเหมือนกันว่า การทำหน้าที่ของศาลคือตัดสิน ไม่ใช่การทำตัวเป็นนักสืบเพื่อความหาความจริงซักอย่างในคดีนั้นๆ )

เด็กฆ่าเด็กตาย อายุไม่ถึงเกณฑ์จึงเป็นเหมือนช่องโหว่ที่นำไปสู่การลงโทษสถานเบาแบบเยาวชน , การทำร้ายทุบตีในครอบครัวที่เกิดขึ้น ลูกๆ คือเหยื่อ แต่เมื่อไหร่ที่ผู้ปกครองบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกครับ ตำรวจหรือใครก็ตามจะไม่สามารถเข้าไปยุ่งหรือช่วยเหยื่อที่โดนพ่อแม่ทุบตีได้เลย , ศูนย์ฟื้นฟูเยาวชนที่กระทำผิดที่มาในรูปแบบบ้านที่พักอาศัย คนที่ดูแลคือผู้ใหญ่ที่้แสนดีมีเมตตาต่อเด็กๆ รักเหมือนลูก ที่เหมือนไม่มีปัญหาแต่ก็มี ซึ่งเป็นปัญหาในมุมที่คนนอกแทบจะมองไม่ออกเลยด้วยซ้ำ , เด็กที่หนีออกจากบ้าน โดยเฉพาะผู้หญิงมันคือส่วนที่น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะการจะอยู่รอดได้ในสังคมเด็กด้วยกันเองนั้นมีเพียงทางเดียว นั่นคือ ค้าประเวณี ซึ่งจะกลายเป็นความผิดได้ แต่ไม่ใช่เด็กเท่านั้นที่จะถูกลงโทษ พ่อแม่คือส่วนที่ต้องรับผิดชอบในความผิดครั้งนี้ด้วย การอบรมพร้อมกันทั้งเด็กและพ่อแม่นั้นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในคดีแบบนี้
คดีเยาวชนแบบชาวบ้านทั่วไปก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่ยกระดับขึ้นมาก็คือ พ่อใหญ่แม่ใหญ่มีอำนาจมีเงินที่จะสามารถซุกซ่อน,ปกปิดและแทรกแซงการตัดสินของศาลที่จะฟาดใส่ลูกๆ พวกเขาได้ , การที่เด็กๆ ควรตระหนักถึงความผิดที่ตนเองร่วมกันหรือมีส่วนก่อขึ้น ไมใช่ว่า พวกเราเบาใจ ไม่แคร์ไม่แยแสศาลหรือความผิดที่เกิดขึ้นที่ส่งผลให้มีเหยื่อบาดเจ็บ เพราะมั่นใจว่ารอดแน่ๆ และ การเติบโตมาแบบผิดๆ เพียงเพราะได้เข้าใจและเจอกับตัวเองแล้วว่า ขึ้นศาลเยาวชนไม่เห็นมีอะไรเลย รอดมาสบายๆ เพราะไม่มีใครชี้นำว่าสิ่งที่ทำมันผิดมันเลวร้ายแค่ไหน พอเห็นว่ากฏหมายมันกระจอก ตนเองก็ใช้ชีวิตแบบเสี่ยงๆ ทำตัวเลวกันตามใจต่อไป

ทีนี้เมื่อมองถึงความผิดของเยาวชนพวกนั้น แม้ภาพรวมหลักจะรู้สึกได้ทันทีว่า ไอ้เด็กนรกแม่เหี้ยแม่งต้องโดนลงโทษสถานหนัก ซึ่งในเรื่องก็มีผู้ใหญ่มีความคิดไปในทางนี้เช่นเดียว อย่างการประท้วงให้ยกเลิกกฏหมายคุ้มครองเยาวชนให้พวกเด็กเหี้ยมารับโทษแบบผู้ใหญ่
ตรงนี้ศาล/ผู้พิพากษาในเรื่องเขาก็จะมีมุมมองที่ต่างออกไปกับผู้ใหญ่/สังคมที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น พวกเขามองว่าการเพิ่มโทษมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยในผลระยะยาว โดยสิ่งที่ศาล/ผู้พิพากษามองถึงเยาวชนที่กระทำผิดไปในมุมที่ใกล้เคียงกันก็คือ จัดระเบียบ/สอนสั่ง/ปลุกฝังความคิดใหม่และชี้นำให้เยาวชนได้สำนึกและรู้ตัวเองว่า ที่ตนเองต้องโทษกักตัวมันคือเขาทำผิดและส่งผลให้คนที่กลายเป็นเหยื่อบอบช้ำหรือสูญเสียมากแค่ไหน ที่จะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางความคิดใหม่และเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีขึ้นในภายภาคหน้า

ในส่วนของพวกตัวละครหลักนั้น อยากให้ไปติดตามกันต่อในซีรี่่ส์เองน่าจะดีกว่า เพราะยิ่งเมื่อเรื่องราวดำเนินไป ฉากหน้า-ตัวตน มุมมองต่อเยาวชน อดีต/ปมบางอย่างถูกเผย มันจะยิ่งทำให้เกิดความอยากรู้ น่าติดตามไปในเวลาเดียวกัน

อีกอย่างที่ชอบคือรายละเอียดที่ยังคงให้ความสำคัญกับเยาวชนเป็นสำคัญ เช่น ชื่อของเยาวชนที่อาจปรากฏในที่สาธารณะ อย่างผู้ป่วยที่กำลังผ่าตัดอยู่ในโรงพยาบาล ป้ายที่ขึ้นบอกสถานะ ก็จะไม่บอกชื่อผู้ป่วยที่เป็นเยาวชนทั้งหมด จะเซ็นเซอร์ชื่อไว้ส่วนนึง เป็นต้น

Licorice Pizza (2021)

Licorice Pizza (2021 / Paul Thomas Anderson)
(USA / Canada)

เรื่องราวของเด็กชายกับสาววัยรุ่น ที่ดำเนินเรื่องได้แบบเรื่อยๆ เพลินๆ ดี จนกระทั่งมาถึงตอนจบของหนัง ตู้ม ทุกอย่างภายในการดำเนินเรื่องเรื่อยๆ เพลินๆ ที่ผ่านมาทั้งหมด ได้กลายเป็นการต่อคอมโบที่สมบูรณ์ในตอนจบของหนังอย่างไม่น่าเชื่อ รู้สึกอิ่มเอิบและสุขใจเป็นที่สุด

อีกอย่างที่น่าสนใจในเวลาเดียวกัน ก็คือรอยต่อช่องว่างของอายุทั้งคู่
เด็กชายพยายามจีบสาววัยรุ่น แต่สาววัยรุ่นไม่เล่นด้วยเพราะอายุต่างกัน สาววัยรุ่นจึงหันไปสีหนุ่มวัยเดียวกันแทน เราเลยได้เห็นความห่อเหี่ยวของเด็กชาย
สาววัยรุ่นที่เริ่มสนิทกับเด็กชายผ่านการทำงานด้วยกัน เริ่มได้เห็นการย่นระยะความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขึ้นแต่ก็ยังคงเรียกต่อกันว่าเพื่อนอยู่ แต่ช่วงเวลาหนึ่ง สาววัยรุ่นได้รู้สึกหึงหวงเด็กชาย เด็กชายที่มุ่งให้ความสนใจต่อเด็กสาววัยเดียวกันมากกว่าสาววัยรุ่น และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราเลยได้เห็นความห่อเหี่ยวของสาววัยรุ่นบ้าง

ระหว่างนั้นก็จะได้เห็นความไม่ลงรอยกันบางอย่างของทั้งคู่ที่ไม่ใช่เรื่องความรักแต่เป็นเรื่องของอายุ เธอทำไม่ได้หรอก เธอยังเด็ก ฉันทำได้ ฉันโตแล้ว การพยายามพิสูจน์ตนเองของเด็กชายในแง่ความเป็นผู้ใหญ่และหน้าที่การงาน รวมไปถึงการขับรถเองและสูบบุหรี่ ส่วนสาววัยรุ่นก็พยายามถอยห่างออกจากความเป็นเด็กของเด็กชายแล้วเริ่มมองมาชีวิตที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นผ่านการทำงานในฝั่งการเมือง

สิ่งที่เด็กชายตั้งใจในเรื่องเราคือผู้ใหญ่มันมีความฝืนตัวเองไปบ้าง ส่วนสาววัยรุ่นที่เริ่มเสาะหาและไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ก็พบว่า ชีวิตแบบผู้ใหญ่มันมีทั้งความซับซ้อนและความน่าเกลียดอยู่ในนั้น สุดท้ายเด็กชายก็อาจไม่ต้องฝืนตัวองทำตัวเป็นผู้ใหญ่จนเกินตัว ส่วนสาววัยรุ่นก็คงต้องชะลอการพุ่งเป้าไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่มันจะมีมุมน่าเกลียดแบบนั้นลง

ไม่ว่าก่อนหน้าหรือหลังจากนั้น ทั้งคู่จะมีอะไรผิดใจกัน งอนหรือเกลียดขี้หน้ากัน แต่เชื่อเหอะ มันไม่มีหรอกการเลือกข้างภายใต้คำว่าความเป็นห่วงคุณ …

Beautiful Sunday (1998)

Beautiful Sunday (1998 / Tetsuya Nakashima)
(Japan)

แรกๆ เหมือนจะมีความกลุ่มก้อนการเล่าเรื่องของผู้อยู่อาศัยหลายห้องในบ้านเช่าแห่งหนึ่ง

ในวันอาทิตย์วันหนึ่ง

มีนักฆ่าที่เพิ่งกำจัดเป้าหมายไปแล้วเดินทางกลับมานั่งพักในห้องที่ท้องมีแผลโดนยิง
มีชายนักเขียนบทซีรี่ส์ฮีโร่บนจอแก้วที่เดินทางมาถึงจุดจบจากคำสั่งโปรดิวเซอร์ที่รอบห้องรายล้อมไปด้วยของเล่นมากมาย หญิงสาวภรรยาที่เป็นคนทำงานหาเงินเข้าบ้านจ่ายค่าเช้าแล้วได้ยินเสียงห้องข้างบนเดินดังหลายรอบเลยติดต่อเจ๊แว่นเจ้าของบ้านพักมาตรวจเช็คกันหน่อย
ห้องข้างบนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวเด็กสาวเป็นลูกครึ่งคนดำที่เรียนเก่งส่วนตัวแม่คือแฟนคลับคลั่งรักนักแสดงชายคนหนึ่งที่มีรูปคู่โปสเตอร์เต็มห้องไปหมด เด็กสาวที่เรียนเก่งแต่มักโดนเด็กสาวญี่ปุ่นแท้รังแกแดก่งแย่งชิงดีกันเรื่องใครเรียนเก่งกว่าที่บางครั้งก็พาเพื่อนฝูงมารุมเด็กสาวลูกครึ่งคนนี้ด้วย
ห้องริมกำแพงถูกจ้องมองโดนชายคนหนึ่งที่หลบอยู่ตรงเสาไฟฟ้า เขายืนสตอล์เกอร์อยู่แบบนั้นทั้งวันทั้งคืนจนแม้หญิงสาวเจ้าของห้องจะเปิดหน้าต่างมาด่า เขาก็จะยังคงยืนกินอาหรดื่มน้ำจ้องน้ำต่างห้องแม่สาวคนนั้นตลอดไป
ป้าห้องหนึ่ง ช่วงบ่ายๆ เวลาเดิมเลยป้าแกจะกลับห้องมาแล้วนั่งกรีดร้องเป็นจังหวะชนิดที่ได้ยินกันทั้งบ้านเช่าทุกห้อง เจ๊แว่นเจ้าของบ้านก็เคยมาคุย เหตุผลของป้าก็คือ ถ้าเมื่อไหร่พวกคุณสังเกตได้ว่าวันหนึ่งป้าไม่ได้กรีดร้องแล้ว วันนั้นป้าก็คงตายไปแหละ แล้วป้าก็กระซิบบอกเจ๊แว่นเจ้าของบ้านว่า จริงๆ แล้ว ป้าไม่ใช่มนุษย์หรอกนะ
ส่วนตัวเจ๊แว่นเจ้าของบ้าน มักเป็นเพื่อนคุยกับชายนักเขียนบทซีรี่ส์ฮีโร่ เขาเคยแนะนำหนังที่เจ๊แว่นเจ้าของบ้านชอบหนังสยองขวัญเรื่อง the shining ไป เจ๊แว่นเจ้าของบ้านชอบก็บอก ไม่ชอบ มันไม่ถูกรสนิยม เขาก็ถามเหตุผล เจ๊แว่นเจ้าของบ้านชอบก็บอก เพราะเด็กมันไม่โดนฆ่า…

ผ่านไปซักครึ่งเรื่อง ก็ดูเหมือนตัวหนังมันจะไม่ได้คุมให้มีความเป็นกลุ่มก้อนในบ้านเช่าเหมือนตอนแรกละ มันเริ่ม what the hell มันมีความเริ่มล้นเหวอๆ จนดูออกละว่า ตัวหนังไม่ได้เน้นว่าต้องเป็นเรื่องในบ้านเช่าเท่านั้นละ แต่สามารถเกาะตัวละครไปสู่เหตุการณ์อะไรก็ตามที่พวกเขาเจอข้างนอกต่อได้ ทั้งผลกรรมวิ่งตามหลังของชายนักเขียนบทกับภรรยาที่หาที่เล่นโยนบอลให้กันในตอนแรก การโดนรุมอย่างหนักของเด็กสาวลูกครึ่งแต่สุดท้ายความเด็ดเดี่ยวของเด็กสาวก็ถือว่าเธอชนะนังนั่นอีกแล้ว เรื่องที่หลบมุมส่วนตัวของเจ๊แว่นเจ้าของบ้านที่ให้บรรยากาศเหมือนล่อลวงชายมือเขียนบทมาพูดคุยกันที่ห้องแห่งความลับของเจ๊ และเรื่องของป้าบนดาดฟ้า

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราววันอาทิตย์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ส่วนหนังจะจบด้วยเช้าวันจันทร์

X (2022)

X (2022 / Ti West)
(USA / Canada)

ครึ่งแรกสมชื่อหนังจริงๆ กองถ่ายหนัง X ในยุค 80 ที่พยายามแหกขนบดั้งเดิมของหนัง X ยุคนั้นกันด้วยการฝากใจเชื่อมือเด็กมหาลัยที่ต้องการแทรกความเป็นภาพยนตร์ปกติเข้าไปในหนัง X ผ่านการมีพลอตเรื่อง การพยายามหามุมกล้องพร้อมการจ้ำจี้จำไชนักแสดงว่าควรวางร่างกายไว้ในลักษณะใดระหว่างเยด ซึ่งก็โดนนักแสดงชายคนดำของยาวตอกกลับ “มึงมีหน้าที่ถ่ายก็ถ่ายไป เรื่องเยดก็จัดแจงตัวเองได้”
การพูดคุยล้อมวงถกกันในประเด็นที่เด็กสาวคริสเตียนแฟนเด็กมหาลัยไฟแรงว่า คนนั้นคนนี้ในกองเป็นแฟนกันแต่เวลาทำงานถ่ายทำหนัง X ต้องไปเยดกับคนอื่นแบบนี้ มันมิใช่ความผิดเพี้ยนในเรื่องความรักเหรอแล้วพวกคุณปรับตัวกันยังไง เหล่าคนกองหนัง X ก็ตอบแบบมืออาชีพว่า ความรักก็ความรัก เซ็กส์ก็เซ็กส์ มีเซ็กส์กับคนอื่นก็แค่มีเซ็กส์ไม่ได้มอบความรักให้ไปด้วยนี่ แล้วสาวๆ อายุยังน้อยก็ต้องเต็มที่กับชีวิต เซ็กส์+งานหนัง X มีคนรักซัพพอร์ตเฝ้ามองอีกฝ่ายโดนคนอื่นเยดอยู่ข้างๆ นี่แหละมุมมองเส้นทางชีวิตที่มีความสุขบุคลากรอุตสาหกรรมหนัง X ในยุคนั้น
ทุกคนล้วนเห็นด้วยกับความกระจ่างในถกกันเรื่องนี้ด้วยความยินดีและเฮฮา ชนแก้ว ซักพัก เด็กสาวคริสเตียนบอก งั้นฉันขอเข้าร่วมถ่ายทำหนังเรื่องนี้ด้วยคนสิ …. เด็กมหาลัยไฟแรงชายคนรักถึงกับเหวอ แล้วก็กลายเป็นความย้อนแย้งขึ้นมา ในเมื่อทุกคนเข้าใจกันดีว่า เซ็กส์ก็คือเซ็กส์มันไม่ได้เบียดเบียนเรื่องความรักซะหน่อย แต่ชายคนรักกลับไม่สามารถหาคำตอบมาโต้แย้งได้ มีแต่บอกว่า ไม่ได้ ไม่ได้ เหตุผลไม่มี ทางนึงเขาก็คงกลัวแทนแฟนสาวว่าจะต้องไปเจอดุ้นใหญ่ดำของนักแสดงชายนั้น แต่ท้ายที่สุดแฟนหนุ่มเด็กมหาลัยก็จนมุม ไม่สามารถห้ามเรื่องนี้ไม่ให้เกิดขึ้นได้ เลยต้องทำหน้าที่ตากล้องถ่ายทำหนัง X ที่แฟนสาวตัวเองกำลังจะขึ้นขย่มดุ้นนักแสดงยาวใหญ่นั่น

…..อะไรกันครับเนี่ย ทำไมฉันเขียนเรื่องพวกนี้ซะยาวเชียว(น้ำลายเกินเบอร์ไปด้วย) มันไม่ใช่หนังประเภทนั้นนะ มันคือหนัง Slasher ไล่เชือดต่างหาก 5555555

พอครึ่งหลังมันก็กลายเป็นหนังไล่เชือดไปจริงๆ นั่นแหละ จากตอนแรกที่เริ่มมีการไล่เชือดกองถ่ายหนัง X กัน ก็พบว่ามันช่างสูตรสำเร็จจริงๆ รวมไปถึงความเป็น Final Girl แบบที่หนังSlasher ไล่เชือดเป็นเสมอมา เว้นแต่ว่า ตัวคนไล่เชือดก็ต้องพยายามสร้างสรรให้ออกมาไม่จำเจกันหน่อย ผลลัพท์ก็คือ ตาแก่ สองคนนี่แหละ

พอมองหนังแบบนี้ ก็เผลอคิดไปว่า ในเมื่อมันเป็นหนังSlasher ไล่เชือดเต็มรูปแบบไปแล้ว ไอ้พลอตกองถ่ายหนัง X ก็เหมือนหมดความสำคัญไปเลยสิ
แต่เมื่อรับชมไปเรื่อยๆ ก็พบว่าเมื่อหนังเผยปมของมือไล่เชือดรุ่นใกล้ตายทั้งคู่แล้ว มันก็เห็นควรจริงๆ แล้วว่าพลอตกองถ่ายหนัง X มันจำเป็นต่อหนังจริงๆ แฮะ กองถ่ายหนัง X งานเดินหน้ากันด้วยการมีเซ็กส์ เกิดอารมณ์ทางเพศขึ้น=เงี่ยน แล้วปมของมือไล่เชือดรุ่นใกล้ตายทั้งคู่นั้น มันก็คือเรื่องความเงี่ยนและการต้องตอบสนองปลดปล่อยความเงี่ยนนี่แหละ

แต่ที่ตลกจริง แบบพอคิดตามแล้วรู้สึกขำในใจก็คือตอนจบของหนัง แบบว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนจบของหนังมันเป็นแบบนี้ เราสามารถโยนให้มันเป็นหนัง found footage ได้หรือไม่ 55555555 จริงๆ ก็ไม่ได้หรอก แต่พอคิดตามสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นต่อไปแล้วมันตลกดี

A Night in Nude (1993)

A Night in Nude (1993 / Takashi Ishii)
(Japan)

นี่ก็เผลอไปดู A Night in Nude: Salvation (2010) โดยไม่รู้ว่ามันคือภาคต่อมาก่อนซะได้ แต่เมื่อได้ดูภาคแรกจบก็เข้าใจได้เลยว่า มันไม่ใช่ความผิดอะไรร้ายแรงในการดูภาคต่อก่อนภาคแรก เพราะถ้าภาคแรกทีหลังก็จะได้เข้าใจว่า เพราะอะไรลุงถึงไปติดคุกแล้วการโดนจัดฉากเรื่องที่ทำให้ติดคุกที่ลุงพูดไว้ในภาคต่อมันคือเรื่องอะไร แค่นั้นเอง ที่เหลือระหว่างภาคแรกกับภาคต่อมันก็ไม่มีอะไรเป็นจุดสำคัญที่ไว้เชื่อมโยงกันแล้ว จะมีก็แค่ลุงคนเดิมงานแบบเดิมแล้วตกกะไดพลอยโจนไปสู่เรื่องฆาตกรรมอีกแล้วเหรอวะเหมือนเดิม

ถ้าจะให้เทียบกันว่าภาคไหนดีกว่า ฉันก็พูดได้อย่างหนักแน่นเลยว่า ภาคแรกดีกว่าจริงๆ ดีกว่ามากๆ แต่ถ้าจะตีค่าความโป๊ในหนัง=หนังดี อันนี้ภาคต่อดีกว่าเห็นๆ ดีกว่าโคตรๆ ดีฉิบหาย เพราะมันโป๊เยอะโป๊หนักและมีสัดส่วนการขายฉากโป๊ของนักแสดงหุ่นดีเป็นหลักมากกว่าประเด็นหลักของหนังเสียอีก
คือถ้าตัดเรื่องฉากโป๊ในภาคต่อไป ตัวหนังภาคต่อคือความอ่อนยวบเบาหวิวเลื่อนลอยและดูกระจัดกระจายยิ่งกว่าภาคแรกจนฉันรู้สึกเบื่อกับบางช่วงของภาคต่อเอามาก โดยเฉพาะซีนขายความโป๊ในภาคต่อนั่น

กลับมาที่ภาคแรกนี้ เมื่อหนังไม่ได้ขายฉากโป๊ สิ่งที่ดีงามเลยก็คือความเป็นรูปเป็นร่างกระฉับในการเล่าเรื่องที่เน้นไปยังลุงที่ซวยกับงานของตนเองเป็นหลัก งานที่ช่วยทุกอย่างแต่ดันโดนลากไปเกี่ยวกับการวางแผนฆ่าคนรักตนเองของหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่อย่างทรมาณมานาน ลุงก็ไม่อยากเกี่ยวหรอกแต่น้องชายผู้ตายได้มาประเคนหมัดและตีนใส่ลุงโดยไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ จากลุงทั้งนั้น ตัดสินไปแล้วว่าลุง มึงเอาพี่ชายกูไปไว้ไหน อัดๆ กระทืบๆ ลุงมึงตอบมาสิ อัดๆ กระทืบๆ
ลุงก็อยากอธิบายนะว่าเอ็งเข้าใจผิดแล้ว ฉันไม่เกี่ยวด้วยเลย แต่ส่วนหนึ่งถ้าบอกความจริงไป ลุงจะฉิบหายกว่าเดิม เพราะศพพี่ชายเขาที่หญิงคนรักฆ่าไว้ มันอยู่ในกระเป๋าเดินทางที่ลุงลากมาเก็บไว้ที่บ้านเพื่อจะเอาไปส่งคืนให้ผู้หญิงคนนั้นที่ดันใช้ชื่อปลอมที่อยู่ปลอมอีก

อันเพราะลุงเป็นคนอ่อนโยน,ใจดีและใจอ่อนมีความเมตตาและสงสารอีกฝ่าย แน่นอนอีกฝ่ายที่ว่าก็คือหญิงสาวคนนั้นที่ถ้าตัวเองถอยออกมาไกลๆ จากเรื่องนั้นประหนึ่งกูไม่เกี่ยวก็จบ แต่หญิงสาวล่ะเธอจะโดนอะไรจากน้องชายคนรักของเธอบ้าง

ยี่สิบนาทีสุดท้ายคือความเหนือจริงที่ถักทอให้ตอนจบออกมาโคตรดีและยิ่งขนลุก+ชวนขบคิดไปอีกขั้นเมื่อลากยาวไปสู่เนื้อหาต่อท้ายตรงเอนเครดิตเข้าไปอีก ประมาณว่ายี่สิบนาทีสุดท้ายคิดไปอย่างหนึ่ง พอได้เจอเนื้อหาตรงเอนเครดิตเพิ่มมันยิ่งทำให้คิดตีความไปได้อีกทางหนึ่งเช่นกัน ซึ่งไม่ว่าจะตีความไปในทางไหนมันก็ยังคงยืนอยู่บนความเหนือจริงในยี่สิบนาทีสุดท้ายอยู่ดี

A Dobugawa Dream (2018)

A Dobugawa Dream (2018 / Asato Watanabe)
(Japan)

ชีวิตเด็กหนุ่มมัธยมปลายที่หยุดนิ่ง/skipข้ามยุควัยรุ่นไปในทันที เพราะเพื่อนสนิทที่โดนรังแกได้แขว-นคอต-ายในที่รวมพลของทั้งคู่ การหยุดนิ่งของเขาคือการกลายเป็นฮิคิโคโมริเก็บตัวอยู่ในห้องจนผมเพ้ารุงรังหนวดเคราเฟิ้ม
จนวันหนึ่ง อะไรซักอย่างทำให้เขาคิดที่จะหนีจากหลุมฮิคิโคโมริที่เคยเป็นอยู่ในห้องตัวเอง ออกไปสู่โลกกว้างโดยไม่รู้ว่าเป้าหมายในการออกมาข้างนอกแล้ววิ่งเท้าเปล่าไปเรื่อยๆ แบบนี้คือที่ไหน จนมาจบลงที่เมืองหนึ่ง เมืองที่ดึกๆ จะเต็มไปด้วยขี้เมาเยอะแยะไปหมด ในเวลานั้นเกิดการแห่ศพคนหนึ่งไปแบบเมาๆ กันเพื่อไปสักการะลุงคนตายในลานกว้างกันแบบเมาๆ
แต่ไม่เว้ย จริงๆ ลุงยังไม่ตาย แล้วก็กลายเป็นลุงขี้เมาที่ทุกคนให้ความเคารพรับไอ้หนุ่มเร่ร่อนที่หลงทางคนนี้ไว้ดูแลในบ้านรกๆ โทรมๆ เต็มไปด้วยขยะ

การออกวิ่งเพื่อไล่จับขโมยของทั้งลุงและไอ้หนุ่มคนนี้ ได้กลายเป็นการปลดล็อคตัวเองของไอ้หนุ่ม ชนิดที่ว่าวิ่งไล่โจรทันแล้วแต่ไอ้หนุ่มก็วิ่งเลยไป วิ่งไปเรื่อยๆ ลุงก็วิ่งตาม ผู้คนในเมืองเห็นแล้วก็วิ่งตามกันไป นักการเมืองที่ล้มเหลวกำลังโดนชาวบ้านด่าอยู่ก็วิ่งตามกลุ่มที่วิ่งไปกับไอ้หนุ่มคนนี้ด้วย (ได้ฟีลฟอเรสกั้มดีจัง) การปลดล็อคของไอ้หนุ่มในการวิ่งครั้งนี้ก็คือการตัดสินใจทิ้งชีวิตที่ผ่านมาเพื่อมาอยู่กับพวกลุงใช้ชีวิตกับพวกลุงแดกเหล้าเมาไปกับพวกลุง

หลักๆ แล้วก็คือเรื่องราวของเหล่าคนที่หลงทางในเมืองที่เป็นที่รองรับผู้คนเหล่านี้ คนหลงทางที่ประทังชีวิตด้วยความเมาแบบไร้อนาคต อยู่ไปวันๆ แบบไร้จุดหมาย แล้วอย่างตัวไอ้หนุ่มนี่คือเขาเหมาะกับที่นี่แล้วจริงหรือเปล่า เขายังมีอดีตที่ยังไล่ล่าเขาที่ยังไม่ตัดไม่ขาดได้อยู่เปล่า พื้นที่ที่คิดว่าใช่นี้ ความจริงแล้วมันคือการวิงหนีการเติบโตก้าวข้าววัยและอดีตไปสู่การใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ใช่หรือไม่

โดยรวมแล้วไม่สนุกไม่ประทับใจไม่มีผลมุมมองดีๆ คืนกลับมายังคนดูเลย เหมือนกับฉันหลงทางไปอะไรก็ไม่รู้ในหนังที่ตอนท้ายก็หลุดพ้นออกมาพร้อมกับไอ้หนุ่มนั่นแหละ

Kadhalan (1994)

Kadhalan (1994 / S. Shankar)
(India)

พลอตที่โบราณสุดแสนคลาสสิกกับเรื่องราวความรักระหว่าง สาวลูกคนรวยชนชั้นสูง หนุ่มคนจนคนธรรมดา พ่อสาวคือมารร้ายตัวขวางกั้นความรักของทั้งคู่ แต่ภายใต้ความตลาดจ๋าของพลอตแบบนี้ การดำเนินเรื่องมันก็สามารถสร้างความเพลิดเพลินดูได้เรื่อยๆ ดี อย่างที่ฉันชอบคือในส่วนของสาวลูกคนรวยที่เกิดและโตในวัง พาได้ออกเดินทางมากับหนุ่มแล้วหิวและง่วงและต้องอาบน้ำ สิ่งที่เธอต้องประสบก็คือเรียนรู้แบบติดดินที่หนุ่มมอบให้ หิวเหรอ หนุ่มก็ไปหาผักหาไข่นกแถวๆ นั้น มาต้มย่างให้สาวกิน หนุ่มแนะนำหนอนแต่สาวร้องอี๋ สาวง่วงแต่ไม่กล้านอนพื้น หนุ่มเลยไปผ้าสาหรี่ส่วนหนึ่งมาแขวนเป็นเปลให้ สาวต้องอาบน้ำแต่ไม่กล้าอาบในคลองที่เป็นสถานที่เปิด อายแม้กระทั่งนกที่กำลังจ้องมาทางเธอ หนุ่มเลยใช้ผ้าสาหรี่ตั้งกำแพงกลางคลองไว้ให้

เรื่องความรักก็นำเสนอให้มีพลังแบบเวอร์ๆ ที่ถึงแม้ตอนแรกจะให้ภาพลักษณ์หนุ่มไปในทางทำตัวน่ารำคาญไร้กาลเทศะอย่างแรง กับการตามมาเรียนเต้นภารตนาฏยัม (Bharatanatyam) ที่สาวฝึกเต้นอยู่ หนุ่มที่มาเรียนเพราะเพียงแค่ช่องให้การชวนคุยกับสาวในฝันของเขาคนนี้ การลามปามแรกของหนุ่มคือการเต้นแร้งเต้นการ้องแร็ปแบบพวกฝรั่ง(ตัวหนังอิงสไตล์การเต้นแบบไมเคิลแจ็คสันเป็นหลัก) เสมือนการโชว์ของพระเอกคือการเหยียบย่ำความศักดิ์สิทธิ์ในการเต้นภารตนาฏยัมของสาว
แต่ในเวลาไม่นาน พ่อของหนุ่มก็สอนให้เขาได้เข้าใจถึงพลังแห่งความรัก ผ่านไปไม่นานหนุ่มก็สามารถเต้นภารตนาฏยัมได้อย่างมืออาชีพ ทั้งที่สาวเรียนเต้นกว่าชำนาญใช้เวลาหลายปี เหตุเดียวที่หนุ่มสามารถฝึกฝนจนเต้นภารตนาฏยัมได้อย่างเทพนี่ก็คือ เพราะผมรักคุณไง….

ในช่วงกลางเรื่องนี่คือส่วนที่บรรยากาศและเนื้อหาที่โคตรหนักเหี้ยๆ ความรักระหว่างเขาและเธอได้ถูกแยกโดยพ่อผู้ซึ่งเป็ฯคนมีอิทธิพลระดับสูงที่สามารถแทรงแซงเรื่องการเมืองยังไงก็ได้ สิ่งที่ผู้พ่อคนนี้ทำก็คือ ป้ายความผิดหนึ่งอย่างให้หนุ่มที่จะต้องโดนทรมาณโดยมาดามตำรวจหญิงเลือดเย็นคนหนึ่ง เช่น การต้องที่หนุ่มต้องโดนน้ำแข็งแท่งยัดตูด เป็นต้น
ส่วนสาวก็แตกหักกับพ่อ ไปจมอยู่ในห้องรกร้างด้วยความคลั่งรักต่อหนุ่ม ถ้าหนุ่มยังติดคุกอยู่เธอก็อยู่แบบนี้ที่สกปกรนี่แหละ ถ้าหนุ่มยังไม่ได้กินอะไร เธอก็จะไม่กินอะไรด้วยเช่นกัน แม้แม่จะหาอาหารมาประเคนก็ตามแต่สิ่งที่สาวตอกกลับใส่ก็คือทลายชนชั้นด้วยการเอาตัวเองไปอยู่ในชนชั้นเดียวกับที่หนุ่มอยู่

ในช่วงครึ่งหลังนี่ผ่านไปซักพักก็เหมือนหนังจะอยู่ในองค์สามแล้วจบลงด้วยการผ่านพ้นเรื่องความรักของหนุ่มและสาวไปได้ แต่ถ้าบอกจบองค์สามก็จะแปลกๆ เพราะเหมือนยังมีอีกองค์ที่ยังไม่เคลียร์ นั่นคือเรื่องของไอ้คนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้
จริงๆ เรื่องความรักของหนุ่มสาวและคนที่อยู่เบื้องหลังมันก็สามารถเอามารวมเป็นองค์สามเลยก็ได้นะ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในหนังมันไม่ใช่แบบที่ว่าไว้นี่สิ มันดันเป็นแบ่งที่ออกมาอย่างที่ฉันว่าไว้ในย่อหน้านี่ เคลียร์เรื่องความรักไปก่อนแล้วค่อยตามมาหาบทสรุปให้เรื่องของผู้ที่อยู่เบื้องหลังนี่อีกทีในตอนจบของหนัง

ตัวหนังนี่มีซีนร้องรำทำเพลงเยอะหลายซีนเอามากๆ เพราะเหตุนี้แหละมันถึงทำให้ตัวหนังทั้งเรื่องยาวถึงสองชั่วโมงสี่สิบกว่านาที แต่ถ้าเราไม่ติดขัดอะไรกับการเป็นหนังอินเดียที่อุดมไปด้วยซีนร้องรำทำเพลงเต้นกันแหลก มันก็สามารถนั่งดูเพลินๆ ไปได้เช่นกัน

The Mosquito Net (2010)

The Mosquito Net (2010 / Agustí Vila)
(Spain)

เป็นหนังครอบครัว ที่เวียร์ดและป่วย—กันทั้งบ้าน
แต่สิ่งที่ฉุดให้ไร้อารมณ์ร่วมตามก็คือความตลกหน้าตายเกินไป เหมือนตั้งบาร์ไว้ต่ำ ตัวละครมีแต่ความนิ่งอารมณ์ที่ตอบสนองไม่ถึง 50% ผลรวมไปที่ออกกระทบต่อฉันจึงมีแต่ความเรื่อยเปื่อยน่าเบื่อพอสมควร ทั้งที่ความเวียร์ดและป่วย—กันทั้งบ้านมันน่าจะเป็นอะไรที่กระตุ้นให้น่าสนใจได้ไม่ยาก

ครอบครัวที่มีสุนัขเต็มบ้านแมวอีกนิดหน่อย ผัวที่มีความอึดอัดในใจบางอย่างที่เมียไม่ยอมผัวได้ผ่อนคลายแบบคู่รัก เมียที่รักลูกชายยิ่งกว่าความรักที่ต้องมีให้ผัวเสียอีก ลูกชายคนเงียบๆ ที่จมจ่ออยู่กับความตายของสัตว์ พี่สาวเมียที่เลี้ยงลูกแบบรักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีที่เกินเลเวลไปเยอะ พ่อของผัวที่อยู่กับคนรักมา 40-50 ปีจนอยากจะฆ่-าตัวตายกันไปทั้งคู่ที่แม้คนรักจะป่วยไม่พูดอะไรพ่อก็จะใช้การพูดแทนคนรักโต้ตอบกันว่ามาตายกันเถอะ

ตัวผัวเริ่มหาพื้นที่ของตัวเองก่อนที่ภายหลังเมียจะให้เขาออกไปจากบ้านเพราะเขาไปตีหมาที่กำลังจะดมมาคาบศพนกพิราบที่มาตายในบ้าน โดยพื้นที่เล็กของผัวได้ไปหยุดอยู่ที่แม่บ้านสาวคนหนึ่ง แม้แรกเริ่มจะมองออกได้ง่ายว่ามันน่าจะเป็นความพิศวาทที่ผัวแอบมีให้แม่บ้านคนนี้ในเชิงชู้สาว แต่เปล่าเลยผัวคนนี้ต้องการเพียงแค่มือของแม่บ้าน การได้โอบอุ้มจับและจูบมือแม่บ้านมันคือสิ่งเดียวที่เขาต้องการ หาใช่เรื่องเซ็กส์ แต่พอทั้งคู่ไปจบที่โรงแรมแล้วแม่บ้านแก้ผ้า ผัวคนนี้จะยังยึดมั่นการหยุดไว้ที่ฝ่ามือเท่านั้นอยู่หรือไม่
ตัวเมียลงเอยที่สถานการณ์ “นั่นแม่นายเหรอ” ยิ่งพอเรื่องมันเกิดไปแล้ว ลูกก็ยิ่งไม่คิดจะมองแม่เหมือนเดิมอีก การจมจ่ออยู่กับความตายของสัตว์เลี้ยงก็ได้เดินหน้าไปอีกแบบนึงผิดจากความตั้งใจของตัวลูกชายไป

หลักๆ มันก็เท่านี้แหละ ที่เหลือก็คือการเดินเรื่องโดยใช้ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมกับความป่วยความเวียร์ดของตัวละครต่อ

Rage (1997)

Rage (1997 / Slobodan Skerlic)
(Federal Republic of Yugoslavia)

รุ่นใหญ่กับวัยรุ่นเลือดร้อน

จุดเริ่มเลยคือเลือดบ้าของวัยรุ่นคนหนึ่งที่ไปจี้พาตัวหัวหน้ามาเฟียรุ่นใหญ่บอสของเขาเองมาแล้วพาไปตึกร้างก่อนจะลงมือทรมาณใส่โดยไม่เกรงกลัวผลย้อนกลับใดๆ ทั้งนั้น เพราะพวกลูกน้องมันจะไปรู้ได้ไงว่าหัวหน้ามันถูกพามาที่นี่ ก่อนจะเริ่มเรียกเพื่อนรุ่นเดียวกันมาช่วยกันทรมาณไอ้รุ่นใหญ่คนนี้กันอย่างสนุกสนาน รวมไปถึงล่อลวงสาวคนรักของไอ้รุ่นใหญ่มายังตึกร้างแล้วข่มขื-นอย่างสนุกสนาน
แต่รุ่นใหญ่ก็คือรุ่นใหญ่นั่นแหละ แม้ทีแรกเขาจะพยายามใช้การออกคำสั่งแบบหัวหน้าต่อพวกวัยรุ่นที่เคยทำงานให้เขามาก่อน ก่อนจะรู้ว่ามันไม่ได้ผลเพราะวัยรุ่นมันปีกกล้าขาแข็งแล้ว และตัวรุ่นใหญ่ก็ไม่อยู่ในสภาพที่มีอำนาจมีลูกน้องรายรอบที่จะสามารถสร้างความกลัวให้วัยรุ่นเลือดบ้าพวกนี้รู้สึกกลัวจนต้องปล่อยตัวเขาไปได้

ภายหลังเลยกลายเป็นสงครามประสาทต่อกัน สิ่งที่รุ่นใหญ่มีคือประสบการณ์และความเยือกเย็น สิ่งที่พวกวัยรุ่นมีก็คือความบ้าที่ไร้ความเห็นอกเห็นใจ วัยรุ่นไม่อาจเอารุ่นใหญ่ลงได้ในบางเรื่องแต่วัยรุ่นก็สามารถเล่นงานรุ่นใหญ่อย่างเลือดเย็นได้เช่นกัน ทั้งความเจ็บปวดทางกายภาพและความทรมาณอย่างเหี้ยมโหด

แต่วัยรุ่นก็คือวัยรุ่น ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นก็เป็นผลมาจากความไม่รอบคอบความประมาทความไม่ระวัง และยิ่งด้วยสถานการณ์จับรุ่นใหญ่บอสมาเฟียไว้แล้วด้วย ยิ่งทำตัวผยองโดยใช่เหตุ แต่ไม่ว่ายังไง สุดท้ายการปะทะที่เกิดขึ้นก็เปรียบดั่งสงครามระหว่างพวกรุ่นใหญ่กับวัยรุ่นเลือดร้อน
สำหรับข้อได้เปรียบของรุ่นใหญ่ก็คือเส้นสายในสังคมที่อาจพาดเกี่ยวไปยังวงการตำรวจ แต่สิ่งที่ทำให้วัยรุ่นสามารถบ้าดีเดือดแบบหลุดกรอบโลกความจริงไปได้นั้นก็คือ การหลอมรวมกันไปเลยระหว่างโลกความจริงกับโลกภาพยนตร์/หนังอเมริกัน ….

โปสเตอร์นี้ ต้องดูหนังถึงจะเก็ท

Studio 666 (2022)

Studio 666 (2022 / BJ McDonnell)
(USA)

งั้น ๆ

สารภาพเลยว่าเคยฟังเพลงวง Foo Fighters มากสุดไม่น่าเกิน 3 เพลง ฉะนั้นจึงไม่รู้สึกอินอะไรกับการที่หนังใช้วง Foo Fighters มาเป็นตัวหลักทั้งวงที่ดูๆ ไปมันก็น่าจะมีสอดแทรกแฟนเซอร์วิสต่อแฟนเพลงมั่งแหละ แต่ในมุมมองฉันนะ มันก็สามารถมองได้ว่านี่เป็นหนังเกี่ยวกับวงดนตรีวงหนึ่งที่มีบทในหนังก็ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้จัก Foo Fighters มาก่อนจะดูหนังก็ได้

เรื่องย่อก็ ทางวงต้องการสถานที่เพื่ออัดเพลงโดยอิงจากวงเก่าๆ ที่สถานที่อัดเพลงก่อให้เกิดอัลบั้มเยี่ยมๆ ขึ้นมา ผู้จัดการเลยให้มาลงเอยที่บ้านร้างแห่งหนึ่งที่ทางวงก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือบ้านเฮี้ยนที่เคยมีเหตุการณ์ฆาตกรรมกันตายเกิดขึ้นมาแล้ว
แล้วในคืนนั้นที่วันเวลาผ่านไป นักร้องนำ/หัวหน้าวง Dave Grohl ผู้ซึ่งตันในไอเดียการแต่งเพลง ได้พบท่วงทำนองของวงในตำนานที่ห้องใต้ดิน ที่เพลงยังไม่เสร็จไม่มีท่อนจบ จากนั้นเดฟก็โดนวิญญาณร้ายเข้าสิง สิ่งเดียวที่วิญญาณร้ายในร่างเดฟต้องการก็คือ เอาเพลงนี้ไปแต่งให้จบ ระหว่างแต่งเพลงอัดเพลงกัน เดฟที่บางทีก็ดูเป็นเดฟปกติบางทีก็ดูเป็นเดฟที่ไม่ปกติ อารมณ์ที่ก่อตัว สมาชิกในวงที่เหลืออด เด็กส่งไก่ทอดดวงซวย วิญญาณตาแดงเต็มบ้าน เริ่มมีคนตาย โดนฆ่าโดนสังหารอย่างเหี้ยมโหดเลือดสาด โดนแดกบ้างแหละ

ช่วงใกล้จบนี่ โคตรย้วยโคตรน่าเบื่อ

แต่สิ่งเดียวที่รู้สึกสนใจมากที่สุดก็คือ อยากฟังเพลงเต็มของวงที่อัดกันไว้ในหนังนี่แหละ ขนาดฟังเฉี่ยวๆ ยังรู้สึกชอบเลย

เกิดความสงสัย เมื่อไปพบหนังชื่อเดียวกัน 2005 แล้วเรื่องย่อก็มีความใกล้เคียงกันบางอย่าง
2022 มันคือได้แรงบันดาลใจจาก 2005 หรือไม่