Archive | October 2022

Midnight Mass (TV Mini Series, 2021)

Midnight Mass (TV Mini Series, 2021 / Mike Flanagan)
(USA)

สปอย ****

ชอบหนังมากก็ตรงที่การมีฝ่ายที่อยู่กับเหตุและผล ใช้หลักการในวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าและเลือกที่จะให้น้ำหนักกับสิ่งที่น่าจะพิสูจน์ได้มากกว่าเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติโดยทันที แล้วก็รวมไปถึงการให้คำอธิบายในภายหลังต่อปรากฏเหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นในแต่ละเคสที่แม้จะไม่เอาให้กระจ่างทุกรูขุมขนแต่แค่การอธิบายบางอย่างเพิ่มสำหรับคนที่ประสบกับสิ่งเหนือธรรมชาติกับตัวแบบอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว เช่น ที่มาที่ไปของหลวงพ่อคนใหม่ แล้วการอธิบายในภายหลังมันก็มีบ้างที่กลายเป็นการไขล็อคสิ่งที่เหนือธรรมชาติเหล่านั้นที่เกิดให้มีคำตอบรองรับว่าเป็นเพราะอะไรแล้วหลักการทำงานอย่างไร เช่นปาฏิหาริย์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ นี้ ทั้งดี สุขภาพร่างกาย++ ไปจนไม่ดี การสูญเสียที่น่าจะเกิดขึ้นได้

แล้วพอยกการอธิบายมาเสริมเป็นจุดแข็ง ก็เหมือนตลกร้ายที่ฝั่งคลั่งศาสนาก็สามารถใช้การอธิบายขั้นเทพจากหลายคัมภีร์เพื่อเอามาอุดปากคนที่ถกเถียงอยู่หรือบิดเบือนการอ้างอิงจนสามัญสำนึกที่เห็นเหตุการณ์อยู่ตรงหน้าว่ามันผิดมันบาป ให้สามารถกลายเป็นทุกอย่างพระเจ้ากำหนดไว้แล้ว ฉอดๆๆๆ ประโยคจากคัมภีร์มายัดหน้าใส่ผู้ศรัทธาที่กำลังสั่นคลอนให้สามารถเห็นคล้อยตามได้ในที่สุด
และก็ชอบสุดๆ ที่บทสรุปมันคือ “หมองูต่ายเพราะงู” โอ้วฉันทำเพื่อพระเจ้าฉันต้องทำแบบนี้ก็เพราะพระเจ้า โบสถ์ของพระเจ้าคือความหวังของมวลมนุษย์ผู้ศรัทธาในพระเจ้า โอ้ว โอ้ว ….

ย้อนกลับมาไปบรรทัดแรกสุดอีกที ตัวละครไรลี่นี่มันมีความมหัศจรรย์ดีจริงๆ ชอบมากตั้งแต่เขาคิดเข้าหาพระเจ้า เลยพยายามศึกษาพระเจ้าของแต่ละศาสนาหน่อยว่าพระเจ้าแต่ละองค์มีดียังไง จนสุดท้ายศึกษาได้ลึกแล้วก็พบว่า เขาไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง พอความเชื่อหลักตรงนี้คือการไม่เชื่อในพระเจ้ามันเป็นหัวข้อใหญ่ที่สุด จึงไม่ต้องถามถึงเรื่องอื่นๆ เลยว่าเขาเชื่อหรือไม่ อย่างปาฏิหาริย์เขาก็มองถึงความเป็นไปได้ มองถึงหลักการที่น่าจะมีส่วนทำให้เกิดปรากฏแบบนั้นขึ้นเอาไว้ก่อน รวมไปถึงการอธิบายถึงความตายในมุมมองตัวเองว่าน่าจะเป็นแบบไหน เขาก็อธิบายเป็นหลักฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์มาเลยแบบละเอียดยิบเป็นขั้นเป็นตอน
พอถึงช่วงท้ายของซีรี่ส์ ความย้อนแย้งที่เกิดกับตัวละครนี้จึงเป็นอะไรที่น่าขนลุกเป็นที่สุด การที่ปัจจุบันเขาเป็นคนไม่เชื่อในพระเจ้าหรือเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ฝันของเขากลับกลายเป็นนิมิตที่สื่อไปถึงช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของเขาเอง (นี่มันปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินี่) พอถึงจุดๆ หนึ่งมันก็จะเข้าใจว่า ทำไมไรลี่ถึงไม่เคยฝันเลยช่วงเวลานั้นไปได้เลย

ในเรื่องแม้จะเน้นไปยังศาสนาคริสต์เป็นหลัก แต่การมีอยู่แบบชนกลุ่มน้อยของศาสนาอิสลาม(2คน) มันก็สะท้อนอะไรได้หลายอย่าง เช่นตอนแรก ที่โต้เถียงกันเรื่องยัดเยียดไบเบิ้ลให้ชั้นเรียน มุสลิมคนพ่อที่เป็นตำรวจก็ต้องการถกเถียงในเรื่องนี้ ฉันก็เชียร์เขานะให้งัดอีป้าคลั่งศาสนาให้ได้ที แต่สุดท้ายเขาก็หมอบถอยเหมือนรู้ว่าพูดไปยังไงก็ไม่ชนะ เพราะที่นี่ไม่ใช่พื้นที่ของคนนอกแบบเขา ก่อนที่ภายหลังเขาจะอธิบายถึงมุมมองและการวางท่าทีของตนเองในแง่การยอมถอยและอยู่อย่างเป็นสุข ประสบการณ์ในเมืองหลวงมันสอนและเล่นงานเขาจนต้องเลือกวิธีทางแบบนี้ในที่สุด พอมาอยู่ที่นี่การเป็นคนศาสนาอื่นไปหาเรื่องกลุ่มคนศาสนาหลักของที่นี่มันไม่ใช่เรื่องเข้าท่าสำหรับเขาเลย … พอคิดๆ ดู มันก็คือเรื่องธรรมชาติบนโลกนี้แหละเนอะ ในพื้นที่นั้นศาสนาใครเป็นใหญ่มีศรัทธาเยอะกว่าก็มีปากมีเสียงมากกว่าเป็นธรรมดา กลุ่มคนอีกศาสนาก็จะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไร้ปากเสียงและพาวเวอร์ใดๆ ไปในที่สุด

A Ravishing Idiot (1964)

A Ravishing Idiot (1964 / Édouard Molinaro)
(France / Italy)

ด้วยความสนใจที่มีต่อ Agent 38-24-36 ชื่อหนังอีกชื่อของเรื่องนี้ ทำให้อยากดูขึ้นมา ซึ่งเมื่อดูไปประมาณครึ่งเรื่อง ก็ชำเลืองมามองชื่อหนังอีกที แล้วก็รู้ตัวละว่า นี่ฉันโดนสปอยบทสรุปหักมุมของหนังเรื่องนี้ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะเท่าที่ดูมาทั้งหมด ไหนวะ เอเจนต์ สามแปด-ยี่สิบสี่-สามสิบหก ที่เห็นในเรื่องมีแต่สายลับรัสเซียในคราบคนอังกฤษแล้วผู้หญิงผมบลอนด์สวยติดซื่อแบบโง่ๆ คนหนึ่งเท่านั้น
แต่ไม่ว่ายังไงการพอได้รู้บทสรุปการหักมุมผ่านชื่อหนังล่วงหน้าแล้ว ใจนึงก็คาดหวังรอจังหวะหักมุมที่(จะต้อง)เกิดขึ้นในหนังนี่ ซึ่งพอถึงจังหวะนั้นจริงๆ โห ปรบมือๆ ชอบๆๆๆๆ

สำหรับตัวหนังก็จะพูดถึงสายลับรัสเซียในคราบหนุ่มอังกฤษที่เพิ่งตกงาน จนต้องหันไปพึ่งรุ่นพี่ที่เป็นสายลับรัสเซียเหมือนกันกับภารกิจขโมยไฟล์ลับเฉพาะที่ซ่อนไว้ในบ้านของท่านเซอร์คนหนึ่ง แต่ด้วยคาแรกเตอร์พระเอกที่ความชำนาญเหมือนสายลับเลเวลหนึ่ง อะไรๆ มันก็พังไม่เข้าท่าไปซะหมด
ในเวลาเดียวกันพระเอกก็พบรักกับช่างตัดเสื้อหญิงผมบลอนด์สวยคนหนึ่ง (Brigitte Bardot) เธอแสดงออกแหละว่าชอบเขาแต่เขาไม่กล้าที่จะเดินหน้า แต่ด้วยคาแรกเตอร์ของหญิงผมบลอนด์นี่มันช่างน่าหมั่นไส้น่ารำคาญมีความเปิ่นๆ โง่ๆ แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติจนบางทีก็โมโหกับนิสัยของเธอไม่ลงเหมือนกัน ซึ่งตัวหญิงผมบลอนด์จับพลัดจับพลูไปได้เป็นช่างตัดเสื้อส่วนตัวของภรรยาท่านเซอร์คนนั้น เมื่อพระเอกกับหญิงผมบลอนด์สนิทสนมเป็นคนรัก จึงกลายเป็นต้องเพิ่มหญิงผมบลอนด์เข้าแผนภารกิจการปล้นแฟ้มลับในบ้านท่านเซอร์กันอีกรอบร่วมกับพระเอกและรุ่นพี่สายลับรัสเซีย

ช่วงภารกิจปล้นครั้งหลังนี่ ตลกและสนุกมากๆ ทั้งฝั่งคนปล้นและฝั่งคนถูกปล้นร่วมมีปฏิกิริยากับเหตุการณ์ตรงหน้าแบบตลกร้ายทั้งนั้น

Sicosexual (2022)

Sicosexual (2022 / Marco Vélez Esquivia)
(Colombia)

อย่างมากเลยที่แฟนคลับคนหนึ่งจะสามารถทำได้แบบส่วนตัวเลยก็คือ “โม่ย”

เรื่องมีอยู่ว่า หญิงสาวคนหนึ่งกับงาน Sound design เครียดๆ เพื่อนร่วมงานเลยแนะนำช่อง youtube มาให้ช่องหนึ่งเป็น youtuber ชายคุยสนุกคนหนึ่งซึ่งทำเอาหญิงสาวคนนี้ติด youtuber คนนี้ไปอย่างไม่รู้ตัว คลิปใหม่มาก็ต้องดูในทันที แล้ววันหนึ่งเธอหัวใจสลายจากชายคนรักที่นอกใจเธอแบบคาหนังคาเขา แต่เธอก็ได้ youtuber กับคลิปของเขาดามใจไม่ให้เศร้าไปกว่านี้ จนสุดท้ายเมื่อตอนนี้เธอเหลือตัวคนเดียว หญิงสาวจึงมุ่งมั่นหันหน้าเข้าหา youtuber คนนี้อย่างจริงจัง ยิ่งเมื่อรู้ว่า youtuber โสดเพราะเขาบอกว่าได้เลิกกับแฟนแล้วด้วย มันก็ยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกมีความหวังมากขึ้นเป็นกองอีก ชนิดที่ว่าถึงขนาดโกหกหัวหน้าเพื่อไปงานแจกลายเซ็นต์ของ youtuber ที่หันมาเขียนหนังสือขาย แล้วที่นั่นเธอก็ได้พบว่า รอบตัว youtuber คนนี้มีศัตรูหัวใจหลายนางเหลือเกิน โดยหญิงสาวในงานแจกลายเซ็นต์ก็ตกอยู่ในภวังค์แฟนคลับแบบเดียวกับหญิงสาวคนนี้นั่นแหละ แต่สุดท้ายสิ่งเดียวที่ทำให้หญิงสาวคนนี้รู้สึกว่าตนเองเหนือกว่านางอื่นๆ ก็คือ เธอจิ้นเธอโม่ยกับ youtuber คนนั้น แค่คิดถึงเขาเธอก็น้ำเดินแล้ว พอน้ำเดินก็หยุดไม่อยู่ต้องติ้วตามโดยมีภาพในหัวคือการมีเซ็กส์อย่างเร่าร้อนกับ youtuber คนนั้น

ถ้ามองดีๆ เหมือนตัวหนังออกไปทางแฉธุรกิจแบบที่ youtuber ทำ นั่นคือการหลอกแดกหากินความใสซื่อความหลงไหลตกอยู่ในภวังค์แบบแฟนคลับที่สามารถทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ใกล้ youtuber มากที่สุด อย่างเช่นการชิงรางวัลได้เดทกับ youtuber ได้เต้นกับ youtuber ได้นั่งดินเนอร์ฟินๆ กับ youtuber เพียงแค่ซื้อหนังสือเขา ส่งบาร์โค้ดเข้าเวป แล้วส่งคลิปมาแข่งขันกัน ซึ่งภาพในหัวของหญิงสาวคือจิ้นคือโม่ยไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้วถ้าเธอมีโอกาสได้ใกล้ชิด youtuber คนนี้ ทว่าความจริงกลับกลายเป็นสิ่งที่น่าจะทำให้หญิงสาวกำหมัดเป็นที่สุด
ธุรกิจบูชาตัวบุคคลหากินกับแฟนคลับแม่งช่างเน่าเฟะสิ้นดี

ตัวหนังเป็นแนว Thriller อ่ะนะ เชื่อว่าน่าจะเดากันได้ว่าจะออกมารูปแบไหน ถ้ามันคือการกระทำที่มากกว่าแค่การโม่ยนั่น

แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังชื่นชอบจังหวะการทิ้ง Hint ในตอนจบของหนังอยู่ดี

The Age of the Earth (1980)

The Age of the Earth (1980 / Glauber Rocha)
(Brazil)

เป็นประสบการณ์การดูหนังที่ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงก็ยังดูไม่รู้เรื่องซักที จนเมื่อ 2 ชั่วโมงผ่านไปนิดๆ ก็มีเสียงผู้กำกับบรรยายขึ้นมา เขาว่าในวันที่ Pier Paolo Pasolini ถูกสังหาร เขาก็ได้ตั้งใจจะสร้างหนังที่เกี่ยวกับชีวิตของพระคริสต์ในโลกที่สามขึ้นมา เหมือนกับที่ Pasolini เคยทำหนังเกี่ยว life of Christ นั่นแหละ พอได้ฟังตรงนี้แล้วก็กลายเป็นจับจุดเพิ่มได้ทันทีและเข้าใจซักทีว่าหนังที่ 2 ชั่วโมงผ่านมานั้นมันตั้งใจจะเล่าถึงอะไรเป็นหลักกันแน่ (เอาจริงๆ ถ้าอ่านเรื่องย่อมาก่อนมันจะไม่มีปัญหาแบบฉันหรอกที่ดูหนังไปเลยแบบไม่ได้อ่านเรื่องย่อมาก่อน)

พอไปดูรายชื่อนักแสดงตัวละครก็เหวอเข้าไปอีก เพราะในหนังจริงๆ ก็พอรู้นะว่ามีตัวละคร Christ อยู่ในนั้น แต่จะมองอิงแค่หนึ่งเดียวไง เลยไม่คิดว่าตัวละครอื่นๆ ในเรื่องก็จะหลาย Christ แบบนี้ เช่น Indian Christ , Black Christ , Military Christ และ Revolutionary Christ !!!!

แต่โดยรวมแล้ว หนังเรื่องนี้มันกินพลังงานคนเอามากๆ เพราะเมื่อหนังตั้งใจลงหลักเล่าเรื่องไว้ที่บลาซิล การไม่เก็ทในบริบทประเทศของยุคนั้นทั้งการเมือง การปฏิวัติ ระบอบการปกครอง ทุนนิยม/สังคมนิยม วัฒนธรรม เรื่องชนชั้นคนจนคนรวยและศาสนาความเชื่อการศรัทธาของผู้คนอะไรประมาณนี้ เลยรู้สึกโคตรเหนื่อยกับการวิ่งตามหนังเอาจริงๆ แถมความยาวหนังก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย (สองชั่วโมงครึ่ง) แต่ก็พวกชอบบรรยากาศที่ลงไปเล่นท่ามกลางกับคนหมู่มากในสถานการณ์จริงพวกนั้นหรือถ่ายกันแบบให้ชาวบ้านมามุงมาดูกันเหมือนมารับชมการแสดงสดๆ กันอะไรแบบนี้

Once Upon a Time in Calcutta (2021)

Once Upon a Time in Calcutta (2021 / Aditya Vikram Sengupta)
(India / France / Norway)

ความรู้สึกหลังดูจบใหม่ๆ เลย คือรู้สึกว่าหนังเล่าเรื่องไปแบบเรื่อยๆ มาก และราบเรียบพอสมควร ปูเรื่องราวตัวละครไว้แล้วท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องรับมือกับเรื่องราวบางอย่างที่ไม่ทันได้เตรียมตัวกัน หรืออาจเรียกว่า “กรรม” ก็ได้เช่นกัน

พอปล่อยตัวเองทิ้งไว้ซักพัก ก็บรรลุกับหนังได้อย่างหนึ่งตรงที่ การที่หนังเล่าเรื่องราบเรียบเรื่อยๆ โดยไม่มีซีนกระตุ้นอารมณ์ตื่นเต้นลุ้นระทึกดราม่าเร้าอารมณ์อะไรเลย มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้หนังน่าเบื่อเลยหรอกนะ สิ่งที่ซ่อนอยู่หรือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายใต้ความราบเรียบเรื่อยๆ นี่แหละคือสิ่งที่ก่อให้น่าค้นหาขึ้น อย่างไอ้หนุ่มเก็บเงินจากชาวบ้านจนๆ มาร่วมลงทุนกับบริษัทเพื่อหวังผลตอบแทนที่จะได้รับนั้น พอเริ่มสังหรณ์ใจดีแล้วในเวลาต่อมาก็ชัดเจนว่า โดนโกงแล้วฉิบหายละ ไอ้หนุ่มต้องหลบซ่อนชาวบ้านไม่งั้นโดนตีนแน่นอน ตรงนี้ทีแรกก็คิดว่าไอ้หนุ่มก็คือเหยื่อที่โดนเชิดเงินไปเหมือนกัน แต่มาสังเกตยานพาหนะของเขาก็ถึงได้เก็ท จากจักรยานกลายเป็นมอเตอร์ไซค์สวยเท่ไปแล้ว …
หรือเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งที่แยกกันอยู่กับสามีหลังจากลูกสาวเสียชีวิตไปในฉากเปิดเรื่อง ชีวิตเธอตรงนี้พัวพันกับผู้ชายสองคน คนหนึ่งคือเพื่อนชายคนสนิทในอดีตที่ได้เจอกันอีกครั้ง บรรยากาศความหอมหวานของทั้งคู่นั้นมันคือความจริงจังแล้วเขาก็บอกเธอว่ายังไม่ได้แต่งงานหรอกนะ อีกคนคือหัวหน้าบริษัททีวีที่เธอทำงานอยู่ บอสที่สีเธอและหวังเคลมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จนสุดท้ายเขาก็ได้ดั่งใจจากผลประโยชน์แลกเปลี่ยนที่ฝ่ายหญิงต้องการอย่างเรื่องบ้านของตัวเองแต่ไม่มีโอกาสตามหาให้ได้ด้วยตัวเองซักที ในบทสรุปของเธอมันช่างตลกร้ายตรงที่ เธอตั้งท้องแต่ไม่ว่าหนังจะไม่บอกหรอกว่าใครคือพ่อเด็ก สุดท้ายเธอก็ท้องไม่มีพ่ออยู่ดี โดยการตัดตัวเลือกคนที่น่าจะเป็นพ่อสองคนออกผ่านสถานะของทั้งสองคนที่ไม่น่าจะมีโอกาสเข้าหาหญิงสาวคนนี้ได้อีกต่อไป อีกอย่างที่ไม่รู้สื่อไปในทิศทางไหนแต่ฉันรู้สึกว่ามันแสบเสียเหลือเกิน ตอนหญิงสาวกลับมาอยู่บ้านสามีหนึ่งคืน เป็นช่วงเวลาที่ตั้งท้องแล้วนั่นแหละ แล้วสิ่งหนึ่งที่ผ่านเข้ามาโดยคนดูไม่ได้เห็นภาพแต่ได้ยินเสียงก็คือ เสียงลูกตัวน้อยสุนัขของสามีที่น่าจะเพิ่งคลอด ที่ผ่านการโดนผสมพันธุ์กับตัวผู้ของคนรู้จักมาเหมือนการรักษาแม่พันธุ์ชั้นดีทางฝั่งตัวเมียที่เพิ่งไปแข่งชนะรางวัลมา…

Nunmul (2000)

Nunmul (2000 / Im Sang-soo)
(South Korea)

หนังวัยรุ่นพังค์พลาดของหนุ่มสาวสี่คน
หนุ่มผมดำหนีออกจากบ้านมาสนิทกับหนุ่มผมขาวตัวแรงสุดอันธพาลที่มีแฟนเป็นสาวผมถักทำงานเป็นเด็กนั่งดริ้ง หนุ่มผมดำก็ทำงานที่ร้านเดียวกับแฟนของหนุ่มผมขาวแหละ วันหนึ่งเขาได้เจอสาวผมสั้นตัวแรงอีกคนที่กล้าชนและเด็ดเดี่ยวไม่ยอมใครมาพร้อมมอเตอร์ไซค์สุดเท่คันหนึ่ง ที่ภายหลังก็กลายเป็นความสนิทสนมต่อกันของหนุ่มผมดำกับสาวผมสั้นผูกพันกันดมแก๊สด้วยกัน ซึ่งหนุ่มผมดำยังซิงส่วนสาวผมสั้นมีประสบการณ์เลวร้ายกับเซ็กส์ในอดีตมา เลยต้องใช่้เวลากว่าจะผ่านพันกันไปได้

แม้หนุ่มผมขาวจะเป็นตัวแรงแต่ในทางหนึ่งเขาก็ไม่กล้าที่จะงัดกับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่ดุโหดกว่าเท่าตัว เช่น ตอนกำลังจะโดนลูกค้าชิ่งเขาได้โดนลูกค้าหยิบมีดมาแทงเอวแต่ก็ไม่สามารถหยุดผู้ใหญ่คนนี้ไว้ที่วิ่งเอาไม้เบสบอลไล่หวดลูกค้าที่กำลังจะหนีโดยเลือดอาบเอวตัวเองอยู่ โดยสิ่งที่ทำให้หนุ่มผมสั้นต้องผิดหวังในตัวหนุ่มผมขาวก็คือการที่เขาไม่คิดจะสู้หรือปกป้องแฟนสาวตัวเองจากผู้ใหญ่คนนี้นี่แหละ ซึ่งเป็นผลมาจากความคลั่งไคล้ของผู้ใหญ่คนนี้ที่อยากได้สาวผมสั้นเป็นเมีย และก็เกิดอุบัติเหตุกับสาวผมถักที่เข้ามายุ่งจนบาดเจ็บไป
ฉากหนึ่งที่ทำให้สาวผมสั้นแม่งโคตรเอาเรื่องเลยก็คือ ตอนที่ผู้ใหญ่เรียกสาวผมสั้นไปคุยก่อนจะแสดงออกถึงความรักของเขาผ่านการจับแก้วแล้วกระแทกลงโต๊ะจนมืออาบเลือด สิ่งที่สาวผมสั้นทำก็คือการปฏิเสธการลงทุนบอกรักแบบเสียเลือดของผู้ใหญ่คนนี้ด้วยการจับแก้วด้วยมือแล้วกระแทกลงพื้นจนมืออาบเลือดเหมือนกันนี่แหละ

แล้วชีวิตที่พวกเขาเลือกอยู่กันแบบตามมีตามเกิดแล้วไร้อนาคตไปจนถึงการต่อต้านสังคมจนกลายเป็นปรปักษ์กับกฏหมายโดยเฉพาะหนุ่มผมขาว

ชอบตอนจบของหนังที่สุดท้ายมันก็กลายเป็นความชัดเจนในแง่การเป็นหนัง coming of age สำหรับตัวหนุ่มผมดำไปในที่สุด เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคือเพื่อนสนิทของหนุ่มผมขาวแล้วหนุ่มผมขาวก็มักจะเข้าชนแก้ปัญหาให้พวกพ้องตัวเองตลอด แต่บางครั้งหนุ่มผมขาวก็ไม่สามารถทำอะไรดั่งเช่นเคสที่เกิดกับแฟนตัวเองจนนำไปสู่ความผิดหวังของหนุ่มผมดำที่ว่า ทำไมหนุ่มผมขาวถึงไม่ทำอะไรเพื่อปกป้องคนรักตัวเอง พอหนุ่มผมดำมีความคิดแบบนี้มันก็เลยชี้ชัดไปในตัวละครตัวนี้ต่อคนดูเองเลยว่า หนุ่มผมดำอ่อนแอใจป๊อดแลัวมักหลบข้างหลังคนอื่น ซึ่้งในตอนจบนี่แหละที่เกิดสถานการณ์ที่ชี้หน้าหนุ่มผมดำว่า มึงต้องตัดสินใจแล้วนะ คนรักมึงอยู่ตรงหน้า มึงจะปกป้องเธอหรือจะปกป้องตัวเองด้วยการวิ่งหนี

ความดิบในการถ่ายทำก็เป็นหนึ่งอย่างที่ตราตรึงใจมากๆ มันเหมือนผู้กำกับมีกล้องตัวเดียวแล้วถ่ายทำกันสดๆ ไปแบบนั้นนี่แหละ แบบกองโจรกันบ้าง ไม่มีการจัดแสงใดๆ ฉากไหนแสงน้อยมืดก็ปล่อยแม่งมืดไปแบบนั้นแหละ ยิ่งฉากถ่ายแบบกองโจรจากดาดฟ้าช่วงตำรวจลงนี่ ผู้คนทั่วไปที่เดินแถวนั้นคงตกอกตกใจกันแน่นอน เพราะถ้าไม่รู้ว่ากำลังถ่ายหนังกันอยู่ก็คงคิดว่าตำรวจกำลังไล่จับอันธพาลที่ขัดขืนกันจับกุมอยู่ หรือช่วงที่ผู้ใหญ่โดนแทงแล้ววิ่งถือไว้มาไล่ฟาดลูกค้าที่ชิ่ง ผู้คนคงตกใจกลัวกันแน่ๆ ว่าเหตุการณ์นี้มีคนโดนแทงจริงๆ แท็กซี่ที่โดนทุบกระจกยับจากผูั้ใหญ่ที่โดนแทงคนนี้

อีกนิดๆ ตอนเห็นซับแปลว่า “ดมแก๊ส” นี่ ก็นึกว่าแปลผิด เพราะเคยเห็นแต่ดมกาวเท่านั้นทั้งหนังญี่ปุ่นหรือคนไทยที่ดมกาวกัน แต่พอได้เห็นก็กระจ่างละว่า ดมแก๊สกันจริงๆ ฉีดแก๊สเข้าถุงพลาสติกแล้วก็สูดดมกันไปเหมือนดมกาวปกติเลย

Asura Girl: A Blood-C Tale (2017)

Asura Girl: A Blood-C Tale (2017 / Shûtarô Oku)
(Japan)

ตัวเรื่องคือเนื้อหาที่แตกหน่อมาจาก Blood-C ของ Clamp แหละก็ขี้เกียจไปหาข้อมูลเชื่อมโยงว่ามันก่อนมาหลังหรือยังไง นี่ก็หยิบมาดูโดยไม่ได้รู้ในส่วนนี้เช่นกัน แต่หลังจากรับชมไปเกือบจบก็ค่อนข้างประหลาดใจตรงที่ แทนที่ตัวละครซายะนักล่าแวมไพร์ที่เป็นตัวหลักมาตลอดในซีรี่ส์ Blood-C ได้กลายเป็นตัวรองไป เป็นตัวรองชนิดที่แทบจะเป็นตัวประกอบไปเลยด้วยซ้ำ เพราะภายใต้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นของมนุษย์ ฝั่งชาวบ้านกับฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ มันเข้มข้นมันหนักเสียจนไม่เหลือพื้นที่ให้ซายะนักล่าแวมไพร์ที่มีหน้าที่ฆ่าปิศาจเข้าแทรกได้เลย

ซึ่งในส่วนของความขัดแย้งในสองฝ่ายมันก็แทบจะโยนคำถามจากเหตุการณ์หลักที่ว่า “คนตายใครคือคนร้ายไปจวบจนใครคือปิศาจ” ใส่ได้ทั้งสองฝ่าย ผ่านความใสซื่อหรืออริ/อาฆาตที่สามารถมองอีกฝ่ายได้ว่า พวกนั้นคือปิศาจเราต้องกำจัดพวกมัน
มันเริ่มมาจากตำรวจโดนฆ่า ตำรวจมองได้แบบเดียวคือ ในพวกชาวบ้านนี้มีพวกคอมมี่แฝงตัวอยู่แล้วมันฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เราต้องหามันให้เจอ ใครแข็งข้อก็อัดมันจับมันมาทรมาณจนกว่าจะคายความลับมาว่า “สหายคอมมี่ของพวกเอ็งหลบกันอยู่ไหน”
คราวนี้พอมีเหยื่อที่โดนฆ่าตายเป็นชาวบ้านบ้าง ชาวบ้านก็ชี้หน้าใส่ตำรวจทันทีว่า “ชาวบ้านโดนตำรวจเข่นฆ่า” จนแทบจะปลุกระดมให้รุกเข้าทำร้ายตำรวจกัน แต่หญิงสาวอาวุโสที่เป็นดั่งผู้นำของหมู่บ้านก็ใช้เหตุผลเข้าควบคุมอารมณ์ของชาวบ้านได้
ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก็น่าจะเป็นปกติของสังคมญี่ปุ่นที่ชายเป็นใหญ่แล้วผู้หญิงถูกกดให้กลายเป็นเบี้ยล่างห้ามมีปากมีเสียงเถียงกับผู้ชายเป็นอันขาด ดังนั้นเมื่อหญิงสาวผู้นำหมู่บ้านสามารถควบคุมฝูงชนได้ด้วยเหตุผลก็เลยกลายเป็นความไม่ชอบใจของหัวหน้าตำรวจ ที่ใจเป็นอริและเหยียดต่อผู้หญิงคนนี้ที่ทำตัวออกคำสั่งเทียบเท่าผู้ชาย หัวหน้าตำรวจมักสบถใส่ผู้หญิงคนนี้ ผู้หญิง ผู้หญิง
ต่อมาเราก็จะได้รู้แหละว่าใครคือฆาตกรคนที่ฆ่าชาวบ้านและตำรวจ คนๆ นั้นคือน้องสาวตัวเอกผู้ชายที่ป่วยนอนโรงพยาบาล แต่ไม่ได้ป่วยจริงเมื่อตกดึกเธอหิวเธอก็จะออกล่าทำร้ายแดกเนื้อผู้คนยามค่ำคืน แล้วคืนหนึ่งเธอก็ไปทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจไม่ตายหนีกลับมายังที่พักตำรวจได้ ก่อนที่ตำรวจติดเชื้อทำร้ายตำรวจด้วยกันเองจะโดนฆ่า ตำรวจที่เห็นว่าใครคือคนทำร้ายเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง คำที่ตำรวจก่อนตายพูดออกมาก็คือ ผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้น … เพียงแค่นี้ก็ทำให้หัวหน้าตำรวจมั่นใจว่า อีผู้หญิงหัวหน้าหมู่บ้านมันคือฆาตกรโหดที่ทำร้ายตำรจและชาวบ้าน ไปควบคุมตัวหล่อนมาที่นี่เดี๋ยวนี้
ในการสอบสวนแม้ฝั่งหญิงสาวอาวุโสกับชายคนสนิทจะยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่เกี่ยวและมีพยาน แต่จะทำอะไรได้ในยุคสมัยนั้นถ้าตำรวจตั้งธงไปแล้วว่าฆาตกรคือเธอคนนี้ สิ่งที่ตำรวจทำก็คือไม่จับขังหรอก หยิบมีดมาวางไว้แล้วกดดันให้ผู้ต้องสงสัยสารภาพแล้วฆ่าตัวตายไปซะ ตรงนี้ด้วยความรักของชายคนสนิทเขาจึงหยิบมีดสารภาพผิดแทนหญิงสาวอาวุโสที่เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วคว้านท้องตัวเองตายแทน
ในส่วนของสองพี่น้องที่พี่สาวป่วยนั้น น้องชายเหมือนจะรู้อาการที่แท้จริงของพี่สาวอยู่แล้ว เขามักแก้ไขสถานการณ์ที่ไม่ให้พี่สาวไปทำร้ายผู้คนด้วยการ มอบนิ้วของเขาให้พี่สาวกินจนนิ้วตัวเองด้วนก็ยอม
นอกเหนือจากชาวบ้านตำรวจสองพี่น้องแล้ว ต้นตอของปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากฝ่ายหมอที่เข้ามาดูแลชาวบ้าน ซึ่งความจริงเปิดเผยว่าหมอคือคนที่ทดลองกับชาวบ้านเพื่อผลลัพท์ในการสร้างทหารที่เป็นอมตะ แล้วหนึ่งเดียวในการทดลองกับชาวบ้านที่ไม่สำเร็จล้มตายกันไปก็คือพี่สาวของตัวละครชายนี่แหละ ที่เป็นผลสำเร็จในการทดลอง โดยหมอพวกนี้เข้าหาชาวบ้านได้ง่ายก็เป็นผลมาจากการรับเงินของหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อแลกกับการมีหมอประจำในหมู่บ้านที่ฉากหน้าเหมือนรักษาช่วยชาวบ้านแต่ความจริงคือจับชาวบ้านมาทดลองเป็นหนูลองยาในการทดลองของทางรัฐ
ถ้าเมื่อไหร่ที่การทดลองนี้สิ้นสุดลง หมู่บ้านนั้นก็จะถูกกำจัดเผาทิ้งหมดทั้งคนทั้งบ้านเรือนลบให้หายไปจากการมีอยู่พร้อมทั้งหมู่บ้านชาวบ้านและการเคยมีหมอมาลงพื้นที่ที่นี่

เนี่ยคือเนื้อหาหลักๆ ของหนังเรื่องนี้ คราวนี้ลองคิดดูนะ ซายะตัวละครหลักของ ซีรี่ส์ Blood-C ที่มีหน้าที่กำจัดแวมไพร์(ในที่นี่ก็คือพี่สาวที่ป่วยนั่นแหละ) คาแรกเตอร์ที่เป็นเส้นตรงปราบแวมไพร์แล้วจบๆ กันไป มันก็ไม่รู้จะส่งบทบาทของตัวละครนี้ไปลงไว้ตรงไหนในเนื้อหาหลักที่แน่นไปด้วความขัดแย้งแบบมนุษย์ของหนังแบบนี้ ผลที่ได้ก็คือ ซายะ ก็เลยกลายเป็นตัวรองไปอย่างที่ฉันเกริ่นไว้ด้วยประการนี้เอง
แล้วนอกเหนือจากเนื้อหาหลักๆ แล้ว ก็จะมีพวกตัวละครจากซีรี่ส์ Blood-C โผล่มามีบทแซมๆ ไว้แบบน้อยนิดด้วย ซึ่งแน่นอนฉันไม่รู้จักหรือจำไม่ได้หรอกแม้จะเคยดูฉบับอนิเมะมาตัวก็ตาม( Blood-C TV Series 2011 กับ Blood-C: The Last Dark 2012 หนังยาว) แต่กับแฟน Blood-C เหนียวแน่นอาจได้อีกความรู้สึกนึงก็เป็นได้

The Witch: Part 2 – The Other One (2022)

The Witch: Part 2 – The Other One (2022 / Park Hoon-jung)
(South Korea)

สปอย ****

อ้าว พอดูจบภาคแรกก็ตีความไปทางหนึ่ง ประหนึ่งผู้สร้างนั้นคือแม่ พอมาภาคสองนี้ อะไรที่เคยตีความไว้ก็โยนทิ้งหมด แล้วกลับมาสู่รากฐานเดิม แม่ก็คือแม่นั่นแหละ ไม่มีหรอกผู้สร้างเท่ากับแม่อะไรแบบนั้น

ภาคต่อนี้ก็ปูเรื่องไว้แทบจะอารมณ์เดียวกับภาคแรกเลย เด็กมีพลังพิเศษได้เจอคนธรรมดาผูกพันกัน ก่อนจะระเบิดตูมซัดกันนัวเนียระเบิดบ้านเผาอาคารกันวายวอด จะต่างกันก็แค่สิ่งที่ตัวละครทั้งสองภาคเป็น ในภาคแรกคือเสแสร้งส่วนภาคต่อนี้คือ อะไรเหรอ ทำตาอ่อนต่อโลกที่แท้จริง ไม่รู้โลกเลยว่ายังไง รู้แค่ว่าติดแดกคือสิ่งเดียวที่เธอชื่นชอบ

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าภาคต่อดรอปลงไป ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องแอคชั่นความมันส์เลย ตรงส่วนนี้ดีงามคงเดิมอยู่แล้ว แต่ส่วนที่ทำให้ความรู้สึกฉันต่อภาคต่อนี้ดรอปก็คือ ชาตินิยม/อวยชาติตัวเองไว้ก่อนนี่แหละ
คือจากภาคแรกนี่เราจะพอเข้าใจได้แค่ว่า มันคือเรื่องราวในเกาหลีใต้เกิดขึ้นในประเทศตีวงไว่แค่นั้นพอ พอมาภาคต่อมาก็ขยายความมีความเป็นนานาชาติไปเลย แล็ปทดลองคนเหนือมนุษย์ที่มีกระจายอยู่หลายประเทศที่ไม่เฉพาะเจาะแค่เกาหลีใต้เท่านั้น ฉะนั้นในภาคต่อนี้เราจึงได้เห็นเหล่ายอดมนุษย์จากหลายประเทศทั้งฝรั่งหรือแม้จีนแผ่นดินใหญ่ ที่พอตัดเข้าฉากบวกันเหล่ายอดมนุษย์พวกนี้แล้ว ก็จะรู้สึกเลยว่าความเวอร์ความเหนือมนุษย์มันแทบจะเทียบเท่านางเอกในภาคแรกเลยก็ว่าได้ แต่…

…เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่ว่าประเทศอื่นจะมีคนเหนือมนุษย์เก่งกาจเพียงใด ชาติเกาหลีใต้ก็จะมีข้อยกเว้นให้มียอดคนเหนือมนุษย์ระดับเทพเจ้ายิ่งกว่าอีก ซึ่งไม่ได้ประทานมาแค่หนึ่งหรอกนะ แต่เอาไปเลยแบบสองพี่น้อง !!!

แต่ไม่ว่ายังไง ก็จะเฝ้ารอ Part 3 อยู่ดี คลั่งไคล้ในแอคชั่นเหนือมนุษย์บ้าพลังไปให้พอแบบที่เป็นอยู่นี้

แล้วอีกอย่างคือ อยากดูภาคแยก Part Bangkok จังเลยอ่ะครับ

Kinsenas, Katapusan (2022)

Kinsenas, Katapusan (2022 / GB Sampedro)
(Philippines)

นักเรียนหญิงล่อพ่อเพื่อน

ก็สงสัยนะ ถ้าหนังมันไม่ได้ใส่ฉากลงมือฆ่าผู้ชายของหญิงสาวคนหนึ่ง ในตอนท้ายเรื่องมันจะรู้สึกเซอร์ไพส์กับสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ ซึ่งพอหนังมันใส่ฉากที่ว่านี่ไว้ ก็เลยเหมือนมันเป็นหนัง Femme Fatale ไปตั้งแต่แรกเริ่มเลย รู้ล่วงหน้าไปเลยว่า พ่อเพื่อนจะโดนอะไรในตอนท้ายเรื่อง

ตัวพระเอกหรือคนพ่อมีครอบครัวที่มีความสุขดีมีลูกสาวน่ารักและรักเมียที่สุดมีเซ็กส์กันปกติไม่มีปัญหาอะไรต่อกัน แต่ด้วยเสน่ห์แบบหนุ่มใหญ่ป๋าๆ ก็มักมีผู้หญิงมานัวเนียอย่างเช่นพนักงานหญิงลูกน้องตัวเอง เคยเลยเถิดต่อกันในห้องทำงานแต่ตอนหลังฝ่ายหญิงมักเข้าหาเขาก็มักปฏิเสธยกครอบครัวมาอ้าง ซึ่งฝ่ายหญิงก็มีสามีแล้ว แต่เมื่อโดนมือไม้ลูบไล้ปลุกอารมณ์เข้าหน่อยเครื่องก็ติด พอเครื่องติดก็ซัดพนักงานหญิงคาห้องทำงานเหมือนเดิม
สำหรับเพื่อนลูกสาวนี่ มันไม่มีวี่แววหรือเหตุจูงใจอะไรเลยว่า เพื่อนลูกสาวที่เพิ่งพบพ่อเพื่อนครั้งแรก เธอก็จับต้นขาเขาพร้อมสายตามีว้อนวอนทันที ยิ่งเด็กสาวพบโอกาสติดต่อพ่อเพื่อน เธอก็ยิ่งรุกหนักจนกระทั่งพ่อเพื่อนตะบะแตกในที่สุดผ่านวีดีโอคอลค่อยๆ ถอด ค่อยโชว์เคล้นหน้าอกตัวเอง จนพ่อเพื่อนถึงกับต้องชักว่าวในห้องทำงานที่บริษัทในทันที จากตรงนี้ไป เมื่อมีโอกาสไม่ว่าเด็กสาวจะเรียนอยู่ เธอก็มักจะหาเวลาว่างวีดีโอคอลหาพ่อเพื่อนแล้วช่วยตัวเองผ่านหน้าจอมือถือซึ่งกันและกัน

สำหรับหนุ่มใหญ่พ่อเพื่อนคนนี้ สิ่งที่เด็กสาวมอบให้มันก็แค่ virtual ต่อกันเท่านั้น ดังนั้นเมื่อเด็กสาวต้องการมากกว่าวีดีโอคอล พ่อเพื่อนจึงปฏิเสธในทันที แต่ก็ช้าไปแล้ว เมื่อหลวมตัวมาเงี่ยนกับเธอ เขาก็ไม่สามารถหลุดลอดจากน้ำมือเด็กสาวคนนี้ไปได้ ไม่ว่าจะทั้งการเข้าหาตัวหนุ่มใหญ่ผ่านเพื่อนที่เหมือนไปเยี่ยมบ้านนอนบ้านเพื่อนนี่แหละ หนุ่มใหญ่ที่ไม่สามารถแสดงการขับไล่หรือปฏิเสธอะไรแบบนี้ได้เพราะมันจะมีพิรุธแน่นอน รวมไปถึงการโดนแบล็กเมลจากเด็กสาว จนในที่สุดหนุ่มใหญ่ก็ช่างแม่ง ตามน้ำไปละ อยากโดนกูเย็ดใช่มั้ย ได้กูเย็ดมึงให้แหลกคึ โดยที่หนุ่มใหญ่พ่อเพื่อนไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเดินมาติดกับดักแผนบางอย่างของเด็กสาวคนนี้เข้าให้แล้ว

สปอย********

สำหรับการอธิบายเสริมในตอนท้ายเกี่ยวกับพฤติกรรมการกระทำของเด็กสาวแบบ Femme Fatale นั่น ก็ไม่รู้ว่าถ้าอ้างอิงการแพทย์มันจะฟังขึ้นหรือเปล่านะ ต้นเหตุเลย เด็กสาวมีบาดแผลในใจมาจากอดีตที่เธอโดนพ่อตัวเองข่มขืน โตขึ้นมาเด็กสาวมาอยู่คนเดียวเป็นโรคซึมเศร้าต้องกินยา paxil แล้วผลลัพท์ที่ท้ายที่สุดคือการลวงหนุ่มใหญ่มาล่อแล้วฆ่านี้ มันหาใช่ครั้งแรกซะที่ไหน เด็กสาวคนนี้คือฆาตกรที่ตำรวจต้องการตัว โดยเด็กสาวจะแอบอ้างเปลี่ยนชื่อไปเรื่อย จะบอกว่าอาการโรคซึมเศร้ากำเริบ +บาดแผลในใจ เลยทำให้ก่อเหตุสังหารหนุ่มใหญ่ตรงหน้าขณะมีเซ็กส์น่ะเหรอ ฟังไม่ขึ้นหรอกนะ เพราะก่อนหน้านี้ตอนล่อลวงหนุ่มใหญ่อาการก็ปกติซึ่งก็ดูเหมือนวางแผนเรื่อยมาจนต้องมาจบที่การฆ่าหนุ่มใหญ่ทิ้งในที่สุด ยิ่งตอนฆ่าก็พูดโทษใส่ผู้ชาย ผู้ชายมันนี่แม่งก็เหี้ยเหมือนกันหมด …. อ้าว ก็หนูยั่วเขาก่อนนี่นะ ถ้าหนุ่มใหญ่ไม่เล่นด้วยนี่คือคนดีเหรอ จะไม่ให้เขาเหี้ยก็ได้นะ ถ้าหนูหยุดรุกหยุดยั่วเย็ดใส่เขา ที่หนูทำก็แค่ล่อลวงเขามาให้รอจังหวะฆ่า แล้วโทษใส่เหยื่อว่า ผู้ชายแม่งเหี้ยยยยยยย (และกูเป็นโรคซึมเศร้าอาการกำเริบ) แบบนี้ไม่ได้นะหนู

แต่ถ้าหนังจะสื่อว่า ผู้ชายมีเมียมีลูกสาวเป็นครอบครัวที่อบอุ่น การนอกใจแบบนี้ มันไม่ได้มันเหี้ย มันต้องโดนพิพากษาโดยเด็กสาวที่มีบาดแผลในใจ ก็… ฟังขึ้นกว่าเดิมมั้ยน้อ

Jouran: The Princess of Snow and Blood (TV Series, 2021)

Jouran: The Princess of Snow and Blood (TV Series, 2021 / Susumu Kudou)
(Japan)

สิ่งแรกที่ทำให้ชะงักหยุดมาสนใจอนิเมะเรื่องนี้ก็คือตัวเอกของเรื่อง ที่ดูเห็นปุ๊บก็รู้เลยว่าคาแรกเตอร์ได้รับแรงบันดาลมาจาก Lady Snowblood นั่น พอรู้สึกสนใจก็เอาซะหน่อยละกัน ดูอนิเมะเรื่องนี้กันไปเลย

เอาแค่เปิดเรื่องมาก็ตั้งตัวไม่ทันเลย เพราะตัวเรื่องถูกวางไว้ในยุคเมจิที่ 64 แต่ทุกอย่างไม่ได้มีความโบราณตามหลักความเป็นจริงเลย มีเทคโนโลยีสำคัญล้ำหน้าที่วางไว้ใจกลางกรุงโตเกียวที่เรียกว่าเส้นเลือดมังกร กับอีกอย่างที่ใช้ดำเนินเรื่องหลักไปพร้อมกับตัวละครก็คือความแฟนตาซีในแง่ ปิศาจการแปลงร่างของตัวเอกแล้วนำสู่ฉากแอคชั่นต่างๆ นานา

ยูกิมูระ หญิงสาวชุดกิโมโนมีร่มดาบเป็นอาวุธมีเลือดพิเศษที่สามารถแปลงร่างได้ เธอทำงานอยู่ในหน่วยใต้ดินของรัฐบาลที่มีไว้เพื่อกำจัดพวกต่อต้านสถาบันให้สิ้นซาก ที่เอาเข้าจริงเป้าหมายเดียวของยูกิมูระก็คือการล้างแค้น กับคนๆ หนึ่งที่ฆ่าล้างครอบครัวเธอและคนทั้งหมู่บ้าน จนตระกูลเผ่าพันธุ์เลือดพิเศษเหลือแค่ยูกิมูระแค่คนเดียว
พอรับรู้ได้ไม่ยากว่าเป้าหมายของยูกิมูระตัวเอกของเรื่องคืออะไร มันก็จะตามมาซึ่งความเหวอนิดๆ ตรงที่ยังไม่ทันถึงครึ่งซีรี่ส์เลย ก็เหมือนความแค้นของยูกิมูระเธอสามารถสะสางได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงมาซึ่งความสงสัยในตัวเรื่องต่อมาว่า แล้วอีกครึ่งซีรี่ส์จะดำเนินเรื่องเป้าหมายแรงจูงใจของยูกิมูระไปในทิศทางยังไงต่อ ในเมื่อเป้าหมายเธอคือความแค้นการล้างแค้น ถ้าทุกอย่างสำเร็จสิ่งต่อไปที่เธอต้องการก็คือความตายของตัวเอง เนื่องด้วยบาปหนึ่งที่กระทำไว้กับฆ่าพ่อแม่ของเด็กน้อยคนหนึ่งที่ตอนนี้เธอดูแลไว้อยู่แล้วหวังว่าชีวิตของเธอจะดับลงด้วยการล้างแค้นของเด็กน้อยคนนี้

แต่อย่างหนึ่งที่จะทำให้รู้สึกแปร่งๆ ก็คือ ตัวเอกเราคือสายเลือดพิเศษแปลงร่างได้ แต่ทำไมบางสถานการณ์นางถึงดูกระจอกเสียเหลือเกิน จนตอนท้ายๆ ถึงได้พอเชื่อตามได้ว่าสายเลือดรุ่นหลังๆ นั้นพวกเขาเลือกอยู่สงบแทนแบบไม่ได้ต้องการเป็นนักรบเหมือนอย่างในอดีตกันแล้ว ฉะนั้นแม้ยูกิมูระจะมีความพิเศษในตัวแล้วผ่านการฝึกฝนมาบ้าง แต่ความคมความเก่งกาจอาจมีดรอปหล่นไปบ้างก็ไม่แปลก รวมไปถึงการขับเคลื่อนด้วยแรงแค้นความโกรธเป็นหลักมากกว่าการคงสติแบบเยือกเย็นมันจะส่งผลลบในการต่อสู้ไปบ้างก็แปลกอีกเช่นกัน

ตอนจบของเรื่องเหมือนจะงง แต่พอทบทวนย้อนหลังดีๆแล้วก็จะไม่งงหรอก มันอธิบายได้ลงตัวเป๊ะๆ อยู่แล้ว

อีกอย่างหนึ่งที่น่าสนใจสุดๆ แต่ถูกวางไว้เป็นเพียงพื้นหลังของเรื่องราวหลักเท่านั้น ก็คือการเมืองภายในเรื่อง ที่คิดว่าผู้สร้างอ้างอิงจากเหตุการณ์จริงๆ ที่เกิดขึ้นไว้ด้วยแหละ
โทกูงาวะ โยชิโนบุ คือผู้ปกครองประเทศเปรียบได้ดั่งสถาบันหลักของประเทศ การแต่งตัวหน่วยนูเอะไว้ปราบปรามจนถึงฆ่าปิดปากพวกคนที่ต่อต่านสถาบันหรือจับมาทรมาณอย่างเหี้ยมโหดเพื่อรีดข้อมูล ตรงนี้ก็นึกถึงตำรวจลับ/องค์กร Cheka ของโซเวียตขึ้นมาเลย แล้วการเป็นคนในหน่วยนูเอะแบบนี้ เข้ามาแล้วออกยาก ไม่ว่าจะทำงานดีเพียงใดแต่ถ้านายสั่งเบื้องบนลงมาก็สามารถโดนกำจัดทิ้งได้เช่นกัน
ในส่วนของเส้นเลือดมังกร ภายหลังก็เข้าใจได้ว่ามันคือทรัพยากรธรรมชาติที่เอามาผันแปรกลายเป้นพลังงานไฟฟ้า ซึ่งโยชิโนบุได้ทำการสูบเอาทรัพยากรส่วนนี้จากทั่วทั้งประเทศวิ่งตรงเข้าสู่โตเกียวจนก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อในเมืองหลวงนี้ ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ที่นี่จะถูกกั้นขวางไว้ด้วยกำแพงที่เหมือนแบ่งชนชั้นไปในตัว การมีอยู่กำแพงนี้มันทำให้นึกถึงกําแพงเบอร์ลินขึ้นมา เพราะมีทั้งภาพการประท้วงด้วยข้อความของกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับสถาบันบนกำแพง จนจวบจนการพยายามทำลายโค่นกำแพงนี้ลงในช่วงท้ายๆ ที่ก่อเกิดภาพปะทะกันของการลุกฮือของประชาชนที่มีโมโลตอฟ ค็อกเทลเป็นอาวุูธต่อกรกับหน่วยปราบจลาจลที่รถฉีดน้ำ นำไปสู่้บานเมืองลุกเป็นไฟแล้วภาพชัยชนะของประชาชนด้วยการโค่นล้มรูปปั้นผู้นำลงมา