Archive | March 2019

Rage (2016)

Rage (2016).jpg

 

Rage (2016 / Lee Sang-il)
(Japan)

หนังเปิดด้วยภาพผัวเมียโดนฆ่าทิ้งเลือดเลอะทั่วบ้าน พร้อมเหล่าตำรวจที่เข้ามาดูแล ก่อนจะเจอเลือดบนประตูที่เขียวไว้ว่า “อิกะริ”
จากนั้นหนังก็ตัดสลับไปมาระหว่างสามเรื่องราวที่ล้วนมีตัวละครชายดูน่าสงสัยไร้หลักแหล่ง 
หนุ่มร่างบางคนนึงได้ชีวิตใหม่กับเกย์ชายอบอุ่นที่ชวนเขาไปอยู่ด้วย
หนุ่มขรึมๆ ไม่เข้าสังคมทำประมงชั่วคราวที่ได้สนิทกับลูกสาวนายจ้างจนก่อเกิดความรัก
หนุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ ตัวคนเดียวอยู่เกาะมั่งเข้าเมืองทำงานชั่วคราวหาเงินมั่ง ที่สนิทกับเด็กสาวที่เพิ่งย้ายมาโอกินาว่าคนหนึ่ง
ในตัวทั้งสามคนล้วนมีบางอย่างในตัวเช่น เค้าโครงใบหน้าหรือถูมิหลังชีวิตตัวเองที่ชวนให้ระแคะระคายว่าชายสามคนนี้ คนไหนกันที่เป็นฆาตกรฆ่ายกครัวในคดีดังนั้น


หนังยาวเกือบชั่วโมงครึ่งแต่ก็เก็บตกได้ครบทุกอย่างที่ควรจะมีทั้งในคดีนั้นเชื่อมไปยังความสงสัยในตัวชายสามคนและเรื่องราวชีวิตของชายสามคนนี้แยกไปอีกที
เรื่องของเกย์ชีวิตที่อบอุ่นกลับให้บรรยากาศเหงาเสียยิ่งกว่า / เรื่องของพ่อกับลูกสาวและสังคมที่ดูแคลนพวกเขากับความสุขเพียงหนึ่งเดียวของลูกสาวที่พ่อไม่สามารถสร้างให้ได้ที่เกิดขึ้นกับชายหนุ่มที่เก็บงำชีวิตตัวเองไว้เบื้องหลังภายใต้คำว่าความรัก และ เรื่องที่โอกินาว่ากับเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันจิตตกอย่างรุนแรงจนกลบเรื่องของหนุ่มแบ็คแพ็คเกอร์ไปจนมิดเลย

ส่วนบทสรุปชีวิตของแต่ละคนที่นอกเหนือจากเรื่องใครคือฆาตกร ก็ปิดเรื่องได้แนบสนิทจริงๆ จนทำเอาเรื่องความอยากรู้ว่าใครเป็นฆาตกรมันกลายเป็นเรื่องรองลงไปอย่างเห็นได้ชัด 

For the Emperor (2014)

For the Emperor (2014).jpg

 

For the Emperor (2014 / Park Sang-Jun)
(South Korea)

กว่าจะมาเก๊ตการแฝงเกมสหมากรุกไว้ในหนังก็ปาเข้าไปครึ่งเรื่องกว่าแล้ว พอเก๊ตก็รู้สึกถึงความลงตัวบางอย่างสำหรับตัวละครในหนัง พระเอกนี่คือเริ่มจากเบี้ย (ขอเอาหมากรุกไทยมาอ้างอิงละกัน เพราะหมากฝรั่งมันไกลตัวเกิน) มีบอสเป็นที่ทีแรกนึกว่าเป็นขุนแต่ความจริงเป็นแค่โคน มีประธานใหญ่ที่เป็นเสมือนขุนอยู่เหนือสุด
เบี้ยที่เริ่มจากสายบบู๊ จนในที่สุดก็อัพตัวเองไปเป็นเม็ดได้ ส่วนโคนที่ภายหลังมีอำนาจมากจนแทบเบียดขุนให้ร่วงได้ ถ้าลองไม่ยึดหลักความจริงของเกมกีฬาหมากรุกไว้ดู มันก็จะแถไปได้อย่างลงตัวเรื่อยๆ แต่พอยึดหลักความเกมกีฬาหมากรุกแล้ว ก็จะพบความย้อนแย้งในตัวมันเอง เพราะหมากรุกนั้นต้องสู้กับอีกฝ่าย แต่เมื่อมาอยู่ในหนังมันกลับกลายเป็นศึกภายในเสียเอง ไม่มีฝ่ายตรงข้าม
ดังนั้นตัวหนังจึงเลือกปิดตาข้างนึงไว้ เอาเป็นแค่การอ้างอิงบางอย่างในหมากรุกมาใช้ประกอบในเนื้อหาหนังแก๊งที่เดินเรื่องด้วยการอัพระดับตัวเอง,การเตะตัดขาและหักเหลี่ยม-ใช้ประโยชน์กันเองภายในแก๊งแทน 

สำหรับตัวละครหญิงในหนัง แทบไม่มีที่ยืนในส่วนสำคัญของเรื่องซักเท่าไหร่ เรียกนางเอกก็พอได้อยู่นะ แต่ถ้าเรียกตัวละครหญิงที่มีไว้ประกอบฉากเซ็กส์ ก็จะเหมาะสมกว่าเยอะเลย แฮก่ๆๆๆ

Evolution (2015)

Evolution 2015.jpg

 

Evolution (2015 / Lucile Hadzihalilovic)
(France / Belgium / Spain)

ลี้ลับเป็นที่สุด เปิดเรื่องมาซักสิบนาทีมันก็ชวนให้มองว่าสถานที่แห่งนี้มันไม่ธรรมดา บรรยากาศและความประหลาดมันทำให้มองสภาพที่นี่เหมือนไม่ใช่เรื่องปกติบนโลกมนุษย์
ชื่อหนังที่แปลว่า วิวัฒนาการ มันก็ทำให้มองสิ่งที่เกิดขึ้นกับนิโคลัสคือความแปลกแยกต่างไปจากเด็กคนอื่นๆ ผมเขาสีดำส่วนคนอื่นสีทอง เขานุ่งกางเกงสีแดงส่วนคนอื่นนุ่งสีดำ นิโคลัสชอบลงทะเลดำน้ำต่างไปจากเด็กคนอื่นที่นี่ ทั้งหมดนี้ก็สามารถมองได้ว่า นิโคลัสมีวิวัฒนาการเหนือขึ้นไปจากเด็กคนอื่นๆ ที่นี่้
แต่ความจริงในหนังกลับเป็นอีกแบบ ความแปลกแยกของนิโคลัสไม่ใช่การพัฒนาแต่เป็นความแปลกปลอม-ไม่เข้าพวกที่ไม่ใช่สิ่งดีบนเกาะแห่งนี้ เป็นความด้อยค่าหรือจุดด่างที่ควรรักษาและแก้ไข

ช่วงแรกพอดื่มด่ำไปกับความลี้ลับแบบค่อยๆ ตามหนังอย่างระทึก แต่พอครึ่งหลังช่วงเข้าโรงพยาบาล ไม่ต้องรู้เรื่องเหี้ยอะไรกันแล้ว จากการที่ค่อยๆ พยายามเดินตามให้ทันก็กลายเป็นเทแม่ง เลิกเดินตามแล้วหันมาเก็บบรรยากาศลึกลับซับซ้อนแฝงสัญลักษณ์เปรียบเปรยมากมายในครึ่งหลังนี้แทน หลอนไฟสะท้อนในดวงตาเด็กมาก ทั้ง 5 แฉกและทั้งหมุนวน

เปิดเผยเนื้อหา ********

จากความไม่รู้เรื่องที่ประดาดังซัดเข้าใส่ดั่งคลื่นทะเล ก็กลายเป็นตัดสมอถ่วงทิ้งในส่วนนั้นๆ ไปได้ในตอนจบ เพราะความชัดเจนเดียวที่ปรากฏขึ้น มันทำให้สามารถเลือกมองหนังได้แบบเดียวกับ Motel Mist ที่เราไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว เราจะไปเข้าใจอะไรมนุษย์ต่างดาวได้ถ้าเรายังคงมีกรอบความคิดเป็นมนุษย์อยู่
Evolution นี้ที่ทีแรกมันทำให้ฉันคิดว่าหนังนี้คือการจำลองโลกอีกรูปแบบนึงขึ้นมาทั้งหมด แต่เมื่อตอนจบพบว่า ไอ้ที่เราเห็นมาตลอดทั้งเรื่องมันคือวิถีชีวิตของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์บนเกาะหนึ่งเท่านั้น ออกทะเลไปไกลบนฝั่งอีกด้านนึงจะมีผืนดินมนุษย์อยู่ ฉะนั้นนี่ไม่ใช่โลกจำลองทั้งหมด แต่จำลองเกาะบนโลกมนุษย์ให้กลายเป็นอีกโลกแค่นั้น ทีนี้พอเอาการมองหนังแบบ Motel Mist มาใช้ ก็สบายหัวทันที เราจะไปเข้าใจพวกการกระทำของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์บนเกาะได้ยังไง ถ้าเรายังคิดอยู่ในกรอบแบบมนุษย์ …เอวัง สบายตัว

Circle of Deceit (1981)

Circle of Deceit (1981).jpg

 

Circle of Deceit (1981 / Volker Schlöndorff)
(West Germany / France)

อาจจะแบ่งส่วนสำคัญของหนังออกเป็นสองส่วน

ส่วนหนึ่งคือการว่าด้วย ฝ่ายไหนเลวทรามชาติชั่วมากกว่ากันในสงครามกลางเมืองที่เบรุต ระหว่างชาวคริสต์กับชาวปาเลสไตน์ สถานะของนักข่าวเยอรมัน (Bruno Ganz) คือสังเกตการณ์และเขียนข่าว ซึ่งจะไม่สามารถชั่งน้ำหนักว่าระหว่างสองฝ่ายนี้ ใครเลวร้ายกว่ากัน ถ้าไม่ได้ลงไปเกี่ยวข้องหรือรับรู้ข้อมูล/ความเลวร้ายของฝ่ายนึงที่กระทำต่ออีกฝ่ายแบบครบทุกด้านทั้งสองฝ่าย แต่สิ่งที่น่าหดหู่และสะเทือนอารมณ์ที่สุดก็คงหนีไม่พ้นพวกเหยื่อ/ผู้สูญเสียทั้งสองฝ่ายในสงครามความขัดแย้งครั้งนี้


อีกส่วนคือตัวนักข่าวเยอรมันเอง ก่อนหน้าสับสนในชีวิตครอบครัวตัวเองทั้งเมียและลูกๆ จนเดินทางมาทำงานในตะวันออกกลางท่ามกลางดงกระสุนสงครามกลางเมืองในเบรุต ระหว่างนั้นเขาก็หลงทาง แทนที่จะอยู่บนจุดยืนตัวเองที่เป็นนักข่าวสังเกตการณ์และเขียนเท่านั้น ตนเองกลับไปเกี่ยวกับสาวฝรั่งคนหนึ่งที่รู้จักกันมาก่อน การเกี่ยวพันกับผู้หญิงคนนี้มันทำให้เขาลดความเหงาในตัวท่ามกลางหน้าที่การงานกลางสงครามลงได้ ยิ่งท้ายเรื่องนักข่าวทั้งหลงทางและสับสนหนักไปอีก ในความเป็นนักข่าวเมื่อเสร็จงานก็ควรเดินทางกลับประเทศตัวเอง ส่วนในความรู้สึกตนเองลึกๆ ในตัวเขาอยากจะอยู่ที่นี่ต่อกับสาวฝรั่งคนนั้นท่ามกลางสงครามในเบรุตนี้

Heroes Shed No Tears (1986)

heroes shed no tears 1986.jpg

 

Heroes Shed No Tears (1986 / John Woo)
(Hong Kong)

-นี่หนังจอห์นวูหรือของอาหลองกันแน่ ระเบิดภูเขาเผากระท่อมกันฉิบหายวายวอดมาก เสมือนนั่งดูดูหนังไมเคิล เบย์อยู่ยังไงยังงั้น

-จริงๆ ตัวหนังถ่ายทำเสร็จไปตั้งแต่ช่วงปี 1984-1985 แต่ถูกเก็บเข้ากรุไป จนเมื่อจอห์นวูโด่งดังจาก A Better Tomorrow (1986) นั่นแหละ ถึงได้ขุดเเอาหนังเรื่องนี้ออกมาจัดจำหน่าย

-ตัวหนังถ่ายทำในไทย พวกสมทบตัวหลักๆ ก็คนไทย ทหารทีมงี้ นักแสดงหญิงงี้ที่พูดอังกฤษไม่ได้ นอกเหนือจากนี้ก็มีนักแสดงเกาหลีอีกสามคน ฝรั่งเศสอีกสอง ตากล้องและผู้กำกับภาพญี่ปุ่นร่วมด้วย นานาจริง

-ฉากเซ็กส์กับดูดยา ถูกโปรดิวเซอร์เสริมเข้ามาเพื่อขายต่างชาติ แล้วชาติพวกนี้จอห์นวูไม่ได้ถ่ายด้วยตัวเอง ก็มีฉากนวดนาบของสาวเชียงใหม่และฉากทหารฝรั่งและฮาเรมสาวไทยสามคนของเขา

กลับมาว่าถึงตัวหนังบ้าง ฉันหงุดหงิดกับการใส่เงื่อนไขเพื่อให้เกิดสถานการณ์ทั้งหลาย ที่บางครั้งก็ใช้ความโง่ไร้เหตุผลเป็นตัวเดินเรื่อง
ถ้ามองนอกกรอบของหนังไป ถ้าทีมล่านายพลตัวพ่อค้ายาที่สามเหลี่ยมทองคำรับภารกิจตรงนี้แล้วพุ่งตรงเคลียร์โดยไม่มีอะไรมาข้องแวะด้วย หนังคงจบภายใน 30 นาที (5555) แต่ในกรอบของหนังเรื่องนี้ คือการมีครอบครัวพระเอกมีเกี่ยวพันอย่างช่วยไม่ได้ ครอบครัวเขาที่เขาทิ้งจากหายไป 6 ปี โดยคุกคามเพื่อใช้เป็นตัวประกันแลกเปลี่ยนกับนายพล เมื่อเขาช่วยได้จึงจำเป็นต้องพาติดภารกิจไปด้วย
มันจะยุ่งเหยิงหาเรื่องใส่ตัวก็ตรงนี้ การจดจ่ออยู่กับภารกิจอย่างเดียวคือสิ่งที่ควรทำ แต่เมื่อลูกชายเขามาเกี่ยว จึงจำเป็นต้องช่วยชาวฝรั่งเศสที่กำลังโดนทหารชายแดนฆ่าดังนั้นทีมพระเอกจึงต้องกลายเป็นฝ่ายโดนล่าทั้งพวกลูกน้องนายพล ลูกน้องหัวหน้าที่โดนพระเอกยิงตา และชาวเขานักล่าที่โดนบีบให้ต้องมาล่าทีมพระเอกอีก
การสูญเสียนี่ยิ่งโคตรหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ วิ่งฝ่ากระสุนมาเป็นพันเป็นหมื่นนัด ตัวร้ายไม่เคยโดนยิงโดนพวกพระเอกเลยซักนัดเดียว แต่เพราะเด็กเวรนั่น ทีมพระเอกเลยต้องมีคนสังเวยชีวิตจนได้ แล้วก็มีอีกหลายสถานการณ์เลยที่พลเรือนอย่างคนใกล้ตัวพระเอกกลายเป็นภาระให้ทีม ให้เกิดความตายโง่ๆ หรือการต้องสู้กันอย่างที่ไม่ควรจะเกิด เห้อ …

สำหรับฉากที่ชอบในหนัง มันแทบจะอยู่นอกเรื่องหลักของหนังไปเลย อย่างฉากเล่นการพนัน ที่ตลกดี ชอบมาก กับฉากเซ็กส์โป๊ๆ นี่โคตรชอบมากๆ เลย แม้อาจทำให้หนังหลุดธีมจริงจังไป แต่สำหรับฉันมันกลับกลายเป็นส่วนที่ดีอีกส่วนสำหรับหนังไปแล้ว อย่างน้อยก็ไม่หงุดหงิดกับสองฉากนี้เลยซักนิดเดียว
ในฉากเซ็กส์โป๊ๆ ช่วงนึงจะมีตลกร้ายอยู่มุกนึง ทหารมาเจอสาวเชียงใหม่คนหนึ่ง พูดจีนได้เพราะเป็นลูกครึ่งไทย-จีน เธอชื่อมาซาชิ ชื่อญี่ปุ่น!!! แต่ความหมายแฝงก็สมชื่อจริงๆ คือเธอมีบริการนวด(มาซาชิ=มาสสาจ-Massage) บริการแบบอ่างเลย แต่นอนบนเรือนกันเลย มาซาชิก็ตีฟองเสร็จ ชโลมตัวแล้ววางตัวลงไปนาบกับเพื่อนพระเอกที่มาโดนนวดนาบ 

Pariyerum Perumal (2018)

Pariyerum Perumal (2018).jpg

 

Pariyerum Perumal (2018 / Mari Selvaraj)
(India)

หนังเรื่องแรกของผู้กำกับ เชี่ย นึกว่าทำหนังมา 4-5 เรื่องแล้วก่อนเรื่องนี้ เพราะทุกอย่างในหนังมันคุมไว้แบบอยู่ถูกที่ทางไปหมด ทั้งความเบามือและความหนักมือคือดีงามไป ความเบามือคือพาร์ทสนุกๆ ชวนยิ้มคลุกเคล้าความเป็นหนังรักที่หอมหวานแบบโคตรอิจฉา ส่วนความหนักมือคือนับแต่กลางเรื่องเป็นต้นไป ที่ไม่ค่อยจะประนีประนอมหรือเห็นใจคนดูซักเท่าไหร่ ยิ่งการกระทืบซ้ำขยี้ศักดิ์ศรีความเป็นคนนี่..กูโกรธแทนมากๆ

เปิดเผยเนื้อหา **

ความเบาช่วงต้นจะเป็นภาคการศึกษาผสมกับเรื่องความรัก พระเอกที่ต้องการเป็นทนาย เริ่มเรียนมหาลัยแต่ต้องเจอกำแพงในหลายๆ วิชาที่อาจารย์พูดด้วยภาษาอังกฤษ ซึ่งตนเองไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย ความตลกที่เพื่อนร่วมห้องขำใส่ทำให้นางเอกมีบทบาทเข้ามา ในการสนใจความตลกของเขาที่เขาจริงจังไม่ได้เอาตลก จนกลายเป็นความสนิทผ่านการเรียนภาษาอังกฤษที่นางเอกสอนเขา จากความสนิทกลายเป็นความรัก แล้วความรักนี่แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นความหนักมือที่กำลังจะมาถึงช่วงกลางเรื่อง
เพราะนางเอกคือลูกสาวคนรวยมีหน้ามีตาและมีอิทธิพล ส่วนพระเอกนั้นคือหนุ่มบ้านนอกในหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีวิถีชีวิตคนละแบบกับคนเมือง ลับหลังนางเอก พ่อนางเอกต้องการให้พระเอกหายไปจากชีวิตลูกสาวตัวเอง ไม่อยากให้สนิทสนมไปมากกว่า พ่อแค่ต้องการพูดคุยแต่ไม่ใช่กับลูกชายคนโตที่หมายใช้กำลังรุมกระทืบใส่พระเอกแทนความหมายที่ครอบครัวต้องการสื่อถึงการปกป้องนางเอกจากพระเอกคนเดินถนนคนหนึ่งคนนี้


จะบอกว่าชีวิตพระเอกพังไปเลยก็ว่าได้ พระเอกยอมทนยอมเจ็บเก็บความคับแค้นทำอะไรไม่ได้ไว้คนเดียว แสร้งทำเหมือนปัญหาการห่างจากนางเอกมาจากความคิดตัวเองเป็นฝ่ายเดียว ยอมถูกมองว่าแย่และเป็นคนที่น่าผิดหวังในสายตานางเอกแทน ไม่ต้องการให้นางเอกรับรู้หรือดึงเธอเข้ามาเกี่ยวพันกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเขาจากครอบครัวเธอ เพราะกลัวเธออาจโดนลูกหลงจากครอบครัวของเธอเองไปด้วย ตามที่ถูกข่มขู่มา

นอกเหนือจากนี้ก็อีกหลายพลอตย่อยหลายอย่างที่น่าสนใจมาก จนน่าจะนำมาขยายหรือต่อยอดกลายเป็นหนังยาวเรื่องใหม่ไปเลย อย่างตัวละครลุงคนหนึ่งกับการฆ่าคนแบบเนียนๆ ให้ดูเป็นอุบัติเหตุ กับเรื่องของการศึกษาของพระเอกในตอนต้น มันน่าทำเป็นหนังเกี่ยวกับศึกษาของหนุ่มคนหนึ่งที่ก่อนเข้ามหาลัยเขาผ่านหลักสูตรภาษาอังกฤษมาด้วยการใช้วิชามาร แต่พอเข้าเรียนชั้นมหาลัยวิชามารใช้ไม่ได้ ทำได้แต่ต้องต่อสู้กับภาษาอังกฤษที่ตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่างเลย ทั้งโดนดุด่าและโดนดูถูก เขาต้องผ่านไปให้ได้ …อะไรทำนองนี้

ปิดท้ายด้วยฉากเปิดโหดสัสเกินไป สำหรับคนรักสัตว์ หมาดำของพระเอกที่เป็นเสมือนสมาชิกครอบครัว โดนคนกลุ่มหนึ่งพาไปมัดไว้ที่ทางรถไฟ พระเอกวิ่งมาช่วยไม่ได้ หมาดำโดนรถไฟทับร่างแหลก ที่บอกร่างแหลกคือยังมีภาพที่พระเอกเดินซึมมาเห็นร่างหมาดำ แหลก ชิ้นส่วน ลำไส้ หัว ขากระจายเต็มรางรถไฟ ถึงจะรู้ว่าเป็นของปลอม แต่ก็สะเทือนใจหดหู่ตามอยู่ดี

vlcsnap-00326.png

The Case of the Bloody Iris (1972)

The Case of the Bloody Iris.jpg

 

The Case of the Bloody Iris (1972 / Giuliano Carnimeo)
(Italy)

พอได้ดูหนังแนว Giallo เพียวๆ บ่อยขึ้น ในหัวก็จะประมวลผลระหว่างการรับชมไปตลอดจนเกือบๆ หนังจบว่า ใครหว่า ใครมันคือฆาตกรสวมถุงมือคนนั้น วิเคราะห์และคาดเดาไปเรื่อยๆ ระหว่างหนังดำเนินเรืองไป
ซึ่งพอปรับตัวตามหนังเป็นแบบนี้ ก็รู้สึกสนุกกับความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นบางฉากว่า หมอนี่ หรือตัวละครที่เพิ่มเข้ามา จนเริ่มเขว บางครั้งปฏิกิริยาของบางตัวก็เพิ่มการจำกัดวงการเดาให้แคบลงไปได้ ก็ไม่แปลกเลยที่จะหาข้อมูงพวกนี้ปั่นหัวจนเหมือนโดนสับขาหลอกไปมาเรื่อง ใครคนนั้น มันคือฆาตรกรถุงมือกันแน่

หนังจบได้ประหลาด แบบไม่เกี่ยวห่าอะไรกับประเด็นหลักของเรื่องฆาตกรแม้แต่นิดเดียว เป็นแค่การทำซ้ำในฉากเริ่มใหม่อีกครั้ง ที่ไม่มีข้อมูลอะไรรองรับเลยว่ามันเกี่ยวอะไรตัวเนื้อหาหนังเรื่องนี้้…

Don’t Forget You’re Going to Die (1995)

Don't Forget You're Going to Die (1995).jpg

 

Don’t Forget You’re Going to Die (1995 / Xavier Beauvois)
(France)

หนุ่มนักศึกษาประวัติศาสตร์และศิลปะที่วางแผนชีวิตไว้แล้ว แต่ต้องหยุดชะงักเพราะถูกเรียนตัวไปฝึกทหาร เขาไม่อยากเอาเวลากับแผนในชีวิตที่วางไว้ไปแลกกับการฝึกทหาร เขาพยายามหาช่องโหว่ทุกช่องทางเพื่อทำให้เขาไม่ต้องไปฝึกหรือโดนเตะออกมาจากศูนย์ทหารด้วยสาเหตุอะไรก็ได้ ซึ่งสุดท้ายเขาก็ได้โอกาสที่ต้องการได้ออกจากการฝึกทหาร แต่สิ่งต้องแลกมาด้วยมาหนักหนากับชีวิตเขามากยิ่งกว่า นั่นการติดเชื้อ HIV (หนังไม่ได้บอกไว้ชัดเจนว่าติดมาได้ไง แต่ถ้าลองคาดเดาก็คิดว่าติดมาจากอุบัติเหตุในห้องผ่าตัดจากเลือดของหมอ)

พอจบช่วงต้นเรื่องก็ทำให้ตระหนักถึงชื่อของหนังเรื่องนี้ทันที ไหนๆ แผนชีวิตที่เคยวางเอาไว้มันก็ไร้ค่าไปแล้ว สิ่งที่หนุ่มคนนี้มองหาลำดับต่อไป คือผลพวงจากการได้รู้จักกับหนุ่มอาหรับในคุกที่โรงพัก เป็นประสบการณ์ในอีกโลกนึงที่ห่างไกลกับชีวิตนักศึกษาอนาคตไกลฐานะดี นั่นคือการฝังตัวอยู่ในโลกยาเสพกับหนุ่มอาหรับ ได้ทดลองเล่นยา ได้ลองขายตูดแบบไม่เอาเงินเพราะแค่อยากลอง ได้ลองทำธุรกิจซื้อขายยา ซึ่งชีวิตส่วนนี้ของเขาเป็นเสมือนการได้เติมเต็มอีกด้านของชีวิตที่ไม่ควรไปเหยียบมันเลย

ช่วงหลังคือการทำให้ชื่อหนังมีความหมายตรงตัวที่สุด นั่นคือการได้ยืนอยู่ในจุดที่สมบูรณ์แบบกับความสุขที่สุดเท่าที่ได้มีชีวิตมา แต่ เขาต้องไม่ลืมว่า ตัวเขานั้น กำลังจะตาย

ชอบฉากจบบทสรุปชีวิตเขาหนุ่มคนนี้มาก มันคือการได้วนกลับไปสู่จุดที่เขาพยายามออกห่างมากที่สุดเพื่อให้เก็บประสบกาณณ์ทุกๆ อย่างที่ควรเจอในชีวิตไว้ให้ครบก่อนเขาจะตาย

The Blue Sky Maiden (1957)

The Blue Sky Maidenb.jpg

 

The Blue Sky Maiden (1957 / Yasuzô Masumura)
(Japan)

เปิดเรื่องมาพร้อมกับท่าทีที่นางเอกสุดๆ มันก็พาให้หลงมองภาพรวมหนังไปทางหนึ่งทันที ทางที่นางเอกเดินทางจากชนบทเข้าเมืองตามคำเชิญของพ่อ ให้มาอยู่กับพ่อโดยบ้านหลังนั้นคือบ้านพ่อกับภรรยาและลูกๆ ของพวกเขา ส่วนนางเอกคือลูกน้องสมรสที่ของพ่อกับแม่นางเอกในช่วงที่พ่อแต่งงานไปแล้ว
สภาพนางเอกก็คนดีถ่อมตนแล้วทนยอมอยู่ต่ำจากการถูกคนในบ้าน เมียพ่อและลูกๆ บีบให้นางเอกที่มีสถานะเป็นลูกสาวคนหนึ่งต้องอยู่ในสภาพการมีแม่บ้านคนหนึ่งในบ้านหลังนี้ รวมไปถึงการโดนเหยียดโดนทำร้ายจิตใจในหลายๆ แบบจากคนบางคนในบ้านหลังนี้ ที่นางเอกต้องอดต้องทน

พอเจอสภาพหนังแบบนี้ มันก็ชวนให้คิดไปไกลว่า เรื่องราวคงเป็นการฝ่าฝันและไปสู่ชัยชนะที่ทุกคนในบ้านหลังนี้ยอมรับนางเอกในที่สุด ก็แหม ช่วงต้นชนะในลูกชายคนเล็กบ้านหลังนี้ไปได้แล้ว
แต่ความจริงคือไม่ แม้หนังจะชวนให้คิดตามไปเช่นกัน แต่ข้อเท็จจริงที่หลีกหนีไปจากนางเอกไม่ได้เลยคือ เธอเข้าเมืองมา ก็เพื่อตามมาแม่แท้ๆ ของตัวเองนั่นเอง ดังนั้น เรื่องราวในบ้านครอบครัวพ่อจึงเป็นเสมือนทางผ่าน”เส้นสำคัญ”ของนางเอกไป

สำหรับเรื่องความรักของนางเอก จะมีผู้ชายสองคน คนหนึ่ง ถูกที่แต่ผิดเวลา อีกคนผิดที่แต่ถูกเวลา ในตัวแปรที่เกี่ยวพันกันก็ทำให้นางเอกสามารถเติบโตขึ้นและหนักแน่นในมุมมองความรักการตัดสินใจเลือกของตัวเองได้้ 


เปิเผยเนื้อหา****

ที่ชอบมากที่สุดคือบทสรุปในวังวนชีวิตของนางเอก ตลอดทั้งเรื่องเราอาจมองหาคนที่เลวร้ายและสมควรโดนคนดูด่าได้ไม่ยาก เพราะท่าทีต่อนางเอกมันเอื้อให้คิดไปทางนั้นได้ไม่ยาก แต่ในความเป็นจริง คนที่เป็นตัวการหลักที่ก่อเรื่องปวดหัวหรือสร้างรอยแผลให้ทุกๆ คนเหมือนกันหมด นั่นคือก็ พ่อนางเอก จุดยืนของพ่อตั้งแต่นับจากรักกับแม่นางเอก มันก็คือการทำให้คนใกล้ตัวรวมไปถึงความสัมพันธ์ไร้ซึ่งความสุขที่แท้จริงเหมือนกันหมด ไม่ใช่แค่ชีวิตของนางเอก แต่ชีวิตครอบครัวของพ่อนางเอกก็ไร้ซึ่งความสุขแบบครอบครัวด้วยเช่นกัน
ชอบคำที่นางเอกบอกพ่อ นางเอกดูออกว่าพ่อยังรักและต้องการเจอแม่นางเอกอยู่ แต่ถ้าไม่ตัดไฟต้นลมเสียตอนนี้ ทั้งหมดคงไม่มีทางเดินหน้าไปยังเส้นทางควรของตัวเองได้นางเอกบอกพ่อ อยากเจอแม่ หนูไม่ให้เจอหรอก แม่เป็นของหนูคนเดียวเท่านั้น หนูจะสร้างความแม่เพียงสองคนเท่านั้น ..

Picking Up Girls (1994)

Picking Up Girls (1994)(1).jpg

 

Picking Up Girls (1994 / Lau Siu-Kwan)
(Taiwan / Hong Kong)

..ครอบครัวตัวเงี่ยน..

หลักๆ ก็จะเป็นแนวเซ็กส์คอมเมดี้ มีตัวละครหลักพ่อแม่ลูกชายลูกสาวเป็นตัวดำเนินเรื่องด้วยความเงี่ยนบ้าตัณหาเหมือนๆ กันหมด
พ่อใช้ตำแหน่งงานจัดฉากกับลูกน้องหญิงน่ารักๆ ที่โดนเล็งเป้าไว้ โดยจะโยนปัญหาใหญ่แล้วตัวพ่อที่มีตำแหน่งใหญ่จะเข้ามาช่วยโอบอุ้มโดยมีเซ็กส์เป็นข้อแลกเปลี่ยน
ลูกชายเป็นตากล้องนิตยสารเพนท์เฮ้าส์ ตะล่อมนางแบบ ใช้ตำแหน่งความเก่งเรื่องเข้าข่ม จนนางแบบเผลอตัวเอนกายลงบนเตียงให้กับตากล้องเพลบอยคนนี้
ลูกสาวเป็นตำรวจ ใช้การตรวจร่างกายผูุ้ร้ายชายเพื่อขนาดจู๋ คนไหนเหมาะมือก็บอกลูกน้องจะพาตัวคนนี้ไปเอง ก่อนจะยัดข้อหาให้แล้วยื่นข้อแลกเปลี่ยนเป็นการสนองเซ็กส์ให้ตนมาแล้วจะปล่อยไป
แม่ คนนี้น่าสงสาร ผัวไม่แตะไม่ทำการบ้านมาเป็นเดือนๆ สาวใช้พยายามช่วยโดยจะจัดฉากให้แฟนตัวเองปลอมเป็นโจรมาข่มขืนเจ้านาย แต่โจรตัวจริงดันโผล่มา ส่วนตัวแม่ก็รู้ทันสาวใช้แต่ไม่รู้ว่าเป็นโจรตัวจริง ถึงอย่างนั้นตัวโจรเองกลับกลายเป็นฝ่ายโดนคุณนายบ้านนี้ข่มขืนแทน

ส่วนงานงอกที่จะตามพวกเขามาก็มีหลากหลายแบบ ส่วนที่สนุกที่สุดคือลูกชาย ที่แม่บอกให้ไปรับพี่สะไภ้ที่หมั้นกับพี่ชายตัวเองที่ต่างแดนที่เพิ่งบินกลับมา ลูกชายลืมชื่อ แต่เมื่อเจอสาวสวยคนนึงโดนใจ ก็พยายาหม้อ แต่กลับกลายเป็นเขาเสียเองที่โดนสาวสวยคนนี้ชิงลงมือก่อน โดยชายหนุ่มหารู้ไม่ว่า สาวสวยคนนี้คือพี่สะไภ้ตัวเอง

แม้หนังจะเริ่มเป็นเซ็กส์คอมเมดี้ แต่สุดท้ายก็จะนำเสนอแบบกรรมตามทัน ครบทุกคน ความเลวร้ายหนักเบาต่างกันไป แต่โหดสัสที่สุดคือสิ่งที่ตัวลูกชายโดน