Tag Archive | India

Animal (2023)

Animal (2023 / Sandeep Reddy Vanga)
(India)

นี่มันหนังชายแท้ชายเป็นใหญ่ชายทั้งแท่งเลยนี่หว่า

สำหรับพระเอกอาวุธและความรุนแรงคือการแก้ปัญหา พระเอกรักครอบครัวสุดๆ แต่สำหรับพ่อมันคืออีกขั้นของความรักและนับถือ พ่อเป็นดั่งพระเจ้าสำหรับเขา แม้พ่อจะไม่เคยชายตามาให้ความสำคัญกับชีวิตลูกชายคนนี้เลยก็ตามที ช่วงเวลาแบบพ่อลูกของทั้งคู่เลยขาดหายไป พ่อเขาเป็นดั่งผู้ทรงอิทธิพลของประเทศผ่านธุรกิจใหญ่โต แต่แล้ววันหนึ่งพ่อของโดนลอบยิงถึงสองนัด ลูกชายที่อยู่เมืองนอกกับเมียมีลูกสองคนก็ต้องบินกลับมาหาพ่อ แล้วให้คำมั่นใหญ่โตว่า มันผู้ใดอยู่เบื้องหลังการทำร้ายพ่อเขามันต้องไม่ตายดี

หนังยาวสามชั่วโมงยี่สิบนาทีกว่า แถมทิ้งเชื้อไว้ว่าจะมีภาคต่ออีกนะ (มึงทำมากูก็ดูวะ) แม้จุดที่เหมือนจะเป็นเป้าหลักของหนังอย่างการไล่ล่าควานหากันว่าใครมันคือคนที่วางแผนลอบฆ่าพ่อพระเอกก็ตาม แต่สิ่งที่ดูจะเน้นเป็นหลักมากกว่าก็คือเรื่องของความสัมพันธ์เป็นพิษ ที่นอกเหนือจากความสัมพันธ์พ่อลูกแล้ว มันก็ยังมีความสัมพันธ์แบบสามี-ภรรยาด้วยนี่แหละ
ชอบที่ครึ่งแรกมันทำให้พระเอกสวมคราบพระเอกหนังบู๊ข้ามาคนเดียวศัตรูเป็นร้อยก็เอาไม่อยู่ได้อย่างโคตรเว่อร์ดี ตลกสัสอีกด้วยเพราะระหว่างที่พระเอกลุยเดียวลูกน้องเขาก็จะร่วมกันร้องเพลงปลุกกันอยู่อีกฝ่ายหนึ่งกัน แต่หลังจากนั้นมันก็คือความสมจริงที่หนังอินเดียประเภทนี้ทำเป็นมองข้ามกันไป นั่นก็คือ เมื่อพระเอกลุยแหลกฝ่าหมัดจีนมีดและกระสุนมา แม้จะรอดมาได้แต่สภาพหลังจากนั้นของพระเอกในเรื่องนี้ คือแทบจะนับเวลาถอยหลังรอวันตายเลยก็ว่าได้ เนื่อด้วยสภาพร่างกายที่บอบช้ำ หัวใจพร้อมจะล่มเหลวได้ทุกเวลา หูหนวกหลังเหตุการณ์ปะทะ ระบบปัสาวะล้มเหลวต้องสอดท่อเข้าองคชาติของพระเอกแทน



ซึ่งสภาพของพระเอกแบบนี้เองแหละ ที่ทำให้พ่อเขาอ่อนลงพร้อมแสดงให้เห็นถึงภาพแบบพ่อผู้เป็นห่วงลูกชายที่สมควรต้องพักฟื้นมากกว่า กลับกันพระเอกไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่ว่าร่างกายจะย่ำแย่แค่ไหนเขาก็รู้ว่ายังไม่ได้ถอนรากถอนโคนพวกที่ลอบทำร้ายพ่อเขาจนหมด ฉะนั้นพระเอกจะไม่ยุติเป้าหมายนี้ลงเพื่อพักฟื้นร่างกายให้หายดีเป็นแน่แท้.

นี่ก็คิดนะว่า ถ้าหนังทำภาคต่อ ก็อยากให้โดดข้ามไปเริ่มที่รุ่นลูกพระเอกไปเลย เรียกว่าการทิ้งเชื้อไว้ของเรื่องนี้มันพร้อมมากๆสำหรับทุกๆฝ่ายที่ปรากฏในหนังเลยก็ว่าได้ สำหรับรุ่นลูกไปอีกที

เปิดเผยเนื้อหา *****



ส่วนไอ้เรื่องพวกชายแท้ชายเป็นใหญ่ชายทั้งแท่งนี่ มันก็ดูไม่ได้ใช้เป็นประเด็นหลักหรอก แต่จะสอดแทรกเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เช่น การโกนหมอย การออกศึกเข้าปะทะกับศัตรูต้องปกปิดให้มิดชิดหรือต้องสวมกางเกงในให้พร้อม ตอนมีเซ็กส์ครั้งแรกกับนางเอกบนเครื่องบินก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ นางเอกอยู่ข้างล่างก็นอนเฉยๆ ส่วนพระเอกอยู่ข้างบนก็ต้องควบคุมร่างกายกับนางเอกและสายตาก็สอดส่องไปยังที่คนขับเครื่องบินเพื่อสังเกตุการณ์ (ทั้งลำอยู่กับสองคน) ความมั่นใจของชายทั้งแท่งที่เมื่อร่างกายฟื้นฟิตเต็มร้อยก็เดินแก้ผ้าอวดทอ่นลำตัวเองเลยสิครับ หรือพวกแฟนตาซีของผู้ชายที่ถูกสื่อออกมาทางมุสลิมชายกับภรรยาทั้งสามคน แฟนตาซีที่ว่าก็คือรสนิยม โดยรุมของผู้ชายนั่นเอง การสู้กับลูกผู้ชายตัวต่อตัวห้ามลูกน้องเข้ามายุ่งทั้งนั้น แม้กระทั่งช่วงปิดฉากตัวร้ายท้ายเรื่อง คำถามที่น่าจะประนีประนอมกันได้ว่า พอมีวิธีมั้ยจากการถามของพระเอก ตัวร้ายก็ตอบด้วยภาษากาย รูปซิปกางเกงลงแล้วชี้ไป สื่อได้ตรงๆว่า “อมควยกูก่อนสิ” แต่ที่จุกเหี้ยๆ สำหรับฝ่ายหญิงอย่างเมียพระเอกเลยก็คือ การที่คนรักไปนอนกับผู้หญิงอื่น แม้พระเอกจะอ้างว่านั่นคือแผนการในล่วงความลับฝ่ายศัตรูโดยมีพ่อของเขาเป็นเดิมพัน แต่ผู้หญิงที่ไหนจะไปรับฟังข้ออ้างแบบนี้ได้กันวะ หนักกว่านั้นคือการพูดตรงๆตอบตรงๆของพระเอกที่ไม่โกหกเมียตัวเองเลยซักนิดเดียว เช่น เนื้อแนบเนื้อที่ว่าไม่ใช่มวยปล้ำแต่เป็นเซ็กส์ เมียถาม จูบปากมั้ย พระเอกตอบจูบ หนักสุดก็คือ ถุงล่ะสวมมั้ย … แม้พระเอกจะไม่ได้ตอบแต่ก็ชัดว่าไม่ได้สวม พระเอกแตกในด้วยมั้ย คำตอบอยู่ก่อนหนังจบโน้นเลย แล้วพอเมียพูดประหนึ่ง ถ้าฉันทำบ้างล่ะ ฉันเจ็บคุณต้องเจ็บด้วย พระเอกก็แสดงความชายเป็นใหญ่ข่มทันที เขาจะไม่มีวันยอมให้เมียเขาทำแบบนั้นนอกใจเขาไปนอนกับชายอื่นแน่ๆ

OMG 2 (2023)

OMG 2 (2023 / Amit Rai)
(India)

โยนี or จิ๋ม
ลึงค์ or จู๋

ภาคแรกอย่างดุ กูจะฟ้องเทพ ฟ้องพระเจ้า ฟ้องผู้นำศาสนา กูจะฟ้องร้องต่อศาล !!! มาภาคต่อนี้ก็เหมือนเป็นใหม่ไปเลย เปลี่ยนจากความดุดันมาเป็นการฟ้องศาลแบบประนีประนอมขั้นสุด เปลี่ยนจากฟัดกับศาสนา/พระเจ้า/เทพ มาสู่เรื่องปุถุชน อย่างเรื่อง “เซ็กส์” นี่แหละ ที่มันต้นเหตุที่ทำให้ลูกชายเกิดความอับอายและโดนไล่ออกจากโรงเรียน เมื่อคลิปที่เขาแอบช่วยตัวเองในห้องน้ำโรงเรียนถูกแอบถ่ายแล้วเอาไปลงเนต การประนีประนอมขั้นสุดของผู้เป็นพ่อก็คือ การฟ้องศาลต่อ พ่อค้าขายน้ำมันจิ้งเหลน หมอตรวจสมรรถภาพทางเพศ เภสัชที่ขายไวอากร้า และโรงเรียนที่ไม่ยอมใส่วิชาเพศศึกษาไว้ จนลูกชายเขาเกิดความเข้าใจอะไรผิดๆต่อเรื่องทางเพศและองคชาติตัวเอง เช่น อยากคว-ยใหญ่ขึ้นให้ชักว่าวบ่อยๆ ร้ายแรงสุดคือเข้าโรงพยาบาลเพราะกินยาไวอากร้าเกินขนาดเพราะคิดว่ากินแล้วคว-ยจะใหญ่ขึ้น เพราะเขาถูกเพื่อนล้อว่าค-วยเล็ก,
โดยสิ่งที่ผู้เป็นพ่อต้องการก็คือ เงินไม่ถึง 200 รูปีเพื่อเอาไปถวายให้เทพและคำขอโทษกับการรับลูกชายเขาเข้าไปเรียนใหม่แค่นั้นเอง



แต่สิ่งที่ลุกลากบานปลายไปจนถึงขั้นวิพากษ์วิจารณ์ระบบการศึกษาที่ไม่ใส่หลักสูตรเพศศึกษาไว้ มันก็มาจากทนายความหญิงไฟแรงของอีกฝ่ายภรรยาลูกชายเจ้าของโรงเรียน ที่มาพร้อมความมั่นความกล้าและอีโก้เต็มขั้นกับความไม่ยอมแพ้และไม่ถอยให้กับเรืองไร้สาระพรรค์นี้จากพ่อเด็กคนนั้นที่ฟ้องร้องมา.

การสู้ของพ่อที่คดีมันบานปลายไปแล้วก็จะกลายเป็นต้องการเปลี่ยนความรู้สึกอายจากเรื่องเซ็กส์เรื่องทางเพศพวกนี้ให้กลายเป็นสิ่งที่ควรศึกษาเรียนรู้กันตั้งแต่เด็ก จะได้รู้ทันปัดป้องและป้องกันได้จากผู้ใหญ่พวกคอยฉวยโอกาสร่างกายจากเด็กๆ และที่สำคัญเลยคือการทำให้สังคมเปลี่ยนมุมมองกันซักทีว่า “คนที่ช่วยตัวเอง มันไม่ใช่สิ่งผิดเว้ย” เพราะบรรยากาศสังคมแสดงออกมาจากคลิปลูกชายช่วยตัวเองนั่น มันทำให้เหมือนครอบครัวของลูกชายคนนี้คือสิ่งที่น่ารังเกียจไปด้วยและไม่ควรเข้าไปใกล้ครอบครัวนั้นที่ลูกชายเขาชักว่าว.. ส่วนฝั่งทนายอีกฝั่งก็สู้ด้วย การตอกย้ำว่า เรื่องทางเพศคือเรื่องที่น่าอาย การช่วยตัวเองคือบาปคือสิ่งที่น่ารังเกียจคือสิ่งที่ผิด โน้วน้ามทุกทางเพื่อไม่ให้เรื่องเพศศึกษาเกิดขึ้นในระบอบของโรงเรียนเด็ดขาด เพราะถ้ามันเกิดขึ้นได้ก็คือตัวเองแพ้คดีนั่นแหละ ลากมาแม้กระทั่งลูกสาวและเมียของอีกฝ่าย เพื่อตอกย้ำถึงความอับอายในเรื่องเซ็กส์กลางศาลมันให้แล้วรู้แล้วรอดไปเลย.

ส่วนเทพในหนัง ก็ไม่ได้เข้ามาช่วยอะไรต่อในสิงที่พ่อสู้แบบตรงๆหรอกนะ แค่มาเหมือนเป็นการชี้โพรงให้กระรอกเท่านั้น จะมาปกป้องจริงจังเลยแบบใช้พลังของเทพก็คือชีวิตของลูกชายเขาที่มองทางออกเดียวในสถานการณ์เลวร้ายน่าอับอายนี้ก็คือ การฆ่-าตัวตายไปจากโลกนี้ซะ.

Yaanai Mugathaan (2023)

Yaanai Mugathaan (2023 / Rejishh Midhila)
(India)

อย่างหนึ่งที่ทำให้นึกถึงเรื่อง OMG (2012) ก็คือเรื่องการมีเทพเจ้าจำแลงร่างมามีปฏิสัมพันธ์กับแบบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน. ที่ใน OMG Akshay Kumar นั้นคือ พระกฤษณะ ส่วน Yogi Babu ในเรื่องนี้ก็คือ พระพิฆเนศ (ที่ดูเข้ากับรูปร่างอ้วนกลมของเขาดี)

สำหรับเนื้อหาแทบไม่ใกล้เคียงกันเลย ใน Yaanai Mugathaan นั้น การที่ตัวเอกได้พบพระพิฆเนศในร่างชายอ้วนดำ มันคือจุดเริ่มต้นของการมองตัวเองใหม่ ปรับเปลี่ยนนิสัยตัวเองใหม่ ไม่เกี่ยวกับการพิสูจน์ว่าเทพเจ้ามีจริงหรือไม่เหมือนกับ OMG แต่เป็นการพบสิ่งที่คิดว่าเป็นเทพเจ้ามันคือการผลักดันให้ตัวเองมีเป้าหมายในการพิสูจน์ตัวเองว่าจะทำได้หรือไม่.
ตัวเอกของเรื่องคือชายที่นิสัยเหี้ย ขี้โกงต้มตุ๋มโกหกหลอกลวงและเห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองทั้งนั้นใครจะลำบากเพราะเขาก็ไม่สนแคร์เพราะไม่ใช่เรื่องของตนเองละ เราหลอกยืมเงินอีกฝ่ายมาได้ก็จบ พอโดนทวงก็บ่ายเบี่ยงตอแหลไปวันนั้นวันนี้คืน หรือไม่ก็ไปยิมเงินคนอื่นมาคืนเจ้าหนี้คนนี้. โดยไม่เชื่อว่าเทพเจ้ามีจริงแต่ก็มีพระพิฆเนศเป็นที่ยึดเหนี่ยว แบบว่า ถ้าวันไหนโชคดีก็อวยพระพิฆเนศ วันไหนโชคร้ายก็โทษพระพิฆเนศ จนกระทั่งวันหนึ่ง องค์พระพิฆเนศในห้องที่เขากราบไหว้ทุกวันหายไป ไม่ใช่แบบโดนขโมยหรือทำหาย แต่พระพิฆเนศทุกองค์ในทุกแบบที่สามารถพบเห็นได้ เขาจะไม่เห็นพระพิฆเนศเลยซักที ไม่ว่าจะปฏิทินหรือรูปภาพที่ไหนก็ตาม เหมือนพระพิฆเนศได้หนีหายไปจากเขา แต่กับคนอื่นก็ยังมองเห็นปกติ, แล้วเมื่อพระพิฆเนศในร่าง Yogi Babu จำแลงกายลงมา มันก็เหมือนได้ทำข้อตกลงกัน ถ้าต้องให้พระพิฆเนศปรากฏตามที่เดิม เจ้าต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนดีให้ได้ เลิกโกหก เลิกขี้โกง ทำเพื่อคนอืน ทำตามที่พูด อะไรประมาณนี้ที่จะส่งผลไปในด้านตรงข้ามกับคนแย่ๆ แบบที่ตัวเอกเป็นมาตั้งแต่เริ่ม.

แล้วในช่วงการเป็นคนดี มันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเข้าใจหัวอกคนที่ตกเป็นเหยื่อจากคนแบบเขาเช่นกัน เช่น ใช้ความใจดีของเหยื่อหลอกเอาเงินไปซื้อเหล้ากิน เป็นต้น

ช่วงหลังๆ เหมือนหลุดโทนไปสู่การออกเดินทางค้นหาจิตวิญญาณแบบเข้มข้น แต่สุดท้ายก็เก็ทถึงสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อ แม้หน้าหนังจะเหมือนการพูดถึงแค่เทพเจ้าของคนอินเดีย แต่ในความเป็นจริงแล้วหนังมันได้พูดรวมๆ ไปเลยถึงการศรัทธาและความเชื่อในเรื่องเทพเจ้า/พระเจ้าของมนุษย์ ที่สะท้อนผ่านตัวคนๆ นั้นอีกที

ตัวหนังภาษาทมิฒเรื่องนี้ เป็นงานรีเมคจาก Innumuthal (2021) หนังภาษามาลายาลัมของผู้กำกับคนเดียวกัน โดยจะปรับเปลี่ยนอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ ตัวเทพเจ้าที่ใช้ในหนัง. Innumuthal นี้จะใช้เป็นพระกฤษณะ ส่วนที่เหลือของหนังน่าจะเหมือนๆกัน.

Jawan (2023)

Jawan (2023 / Atlee)
(India)

พ่อคือพ่อ

แม้จะรับบทเป็นสองตัวละครแต่พอตัวละครพ่อมีบทปุ๊บ ก็ดูค่อนข้างขโมยซีนตัวละครลูกไปมากอยู่เหมือนกัน
ช่วงหลังแม่งพลังหญิงมหาศาลมาก (หรือจะเถียง)

แล้วในส่วนสรุปสำคัญที่สุดของหนังในช่วงท้ายเรื่องนี้ เชื่อว่าถ้าปรับเป็นประเทศไทย คนเขียนบทคงปวดหัวตายชัก จะดัดแปลงยังไงวะ ..ขึ้นอยู่กับประชาชนเหรอ ถุ้ย มันขึ้นอยู่กับ สว. ต่างหากล่ะ

ดีใจที่ได้เห็นเจอ Deepika Padukone อีก แล้วดีใจกับ Jaffer Sadiq นักแสดงชายตัวเล็กจิ๋วด้วยอีกคน ส่วน Vijay Sethupathi นี่ค่อนข้างตกใจมาก เพราะมาในครึ่งหลังว่า อ้าว ตาแก่ในครึ่งแรกคือเขาหรือเนี่ย เมคอัพแบบจำไม่ได้เลย แต่ที่ช็อกที่สุดก็คือ การเพิ่งข้อมูลว่า Yogi Babu แสดงในเรื่องนี้ด้วยนะเว้ย แต่เป็นในเวอร์ชั่น Telugu กับ Tamil เท่านั้น เป็นบทนายทหารที่พลีชีพด้วยระเบิดตอนย้อนความหลังของพ่อพระเอก ..เนี่ย ถ้ารู้แบบนี้แต่แรกก็จะได้ไปหาเวอร์ชั่น(เสียง)ทมิฬมาดูแทน เพื่อที่จะได้พบกับนักแสดงขวัญใจอย่างนายโยกีบาบูคนนี้ 55555555555

Toby (2023)

Toby (2023 / Basil Alchalakkal)
(India)

โทบี้คือชายที่พูดไม่ได้แต่ได้ยินปกติ เขาเป็นคนที่เต็มไปด้วยความรุนแรงตอนเด็กก็ส่งเข้าโรงเรียนดัดสันดานมาตลอด โตมาหน่อยก็เปลี่ยนจากโรงเรียนดัดสันดานเป็นคุกแทน เขาไม่มีชื่อ บาทหลวงท่านหนึ่งตั้งชื่อให้เขาว่าโทบี้ เขาไม่มีมารยาททางสังคมใดๆ ทั้งนั้น ใครมากวนใจเขามักโดนตบหน้า แต่จุดแข็งมากๆ เลยของโทบี้คือความเลือดเย็นในการใช้ความรุนแรงไปจนถึงสัญชาตญาณที่แหลมคม ส่วนจุดอ่อนของโทบี้ก็คือ เขาโง่.

เหมือนชีวิตเขาไร้หลักมาโดยตลอด จนกระทั่งมีคนเอาเด็กมาทิ้ง เขาก็เก็บมาเลี้ยงแบบคนไม่รู้เรื่องรู้ราวจะป้อนข้าวให้ทารกซะงั้น เขาทำงานเป็นสัปเหร่ออาศัยอยู่ในที่ห้องเก็บศพ เขาก็เลี้ยงเด็กไปพร้อมกับศพในห้องนั้นแหละ แต่ไม่ว่ายังไงช่วงเวลาที่เขาอยู่กับลูกสาวคนนี้มันล้วนเป็นช่วงเวลาที่ดูมีความสุขและเต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนดูเลยก็ว่าได้ เขาแอบชอบหญิงขายตัวคนหนึ่ง แต่เธอบอกไม่สามารถรักหรือชอบเขาได้ การแต่งงานยิ่งเป็นไปไม่ได้ สื่อสารก็ยากเพราะโทบี้พูดไม่ได้ ลูกสาวที่คุยกับโทบี้รู้เรื่องมันก็ไม่ใช่เหตุที่จะให้เด็กมาฟังเรื่องของผู้ใหญ่แบบนี้, แต่ไม่ว่ายังไง การได้รักความอยากแต่งงานกับสาวคนนี้คือความฝันของโทบี้เลยก็ว่าได้.

จุดเปลี่ยนของหนังที่จะนำเราไปสู่ความหนักสัสของหนังยิ่งขึ้นไปก็คือ เมื่อหนังปรากฏผู้มีอิทธิพลของหมู่บ้านกับการบังคับให้สูญหายกับพวกที่ขัดผลประโยชน์กับพวกเขา วิธีก็คือแปะป้ายชื่อและใบหน้าเป้าหมายไปว่า “สูญหาย” ล่วงหน้าเลย แล้วผู้มีอิทธิพลพบพ่อค้าเนื้อแพะกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้ซื้อแพะจากพวกเขา ทั้งโดนคุกคามและข่มขู่ จนพวกพ่อค้าต้องการหาทางออกที่พึ่งตำรวจยากเลยหาคนที่จะกำจัดพวกผู้มีอิทธิพลกลุ่มนี้ ตัวเลือกที่เขาเลือกไว้ไม่ได้มาจากการรู้ข้อมูลอะไรลึกเลย พวกเขาเลือกโทบี้เพราะเขาต้องการสร้างบ้านให้ลูกสาวที่เป็นเงื่อนไขของหญิงขายบริการสร้างไว้กับโทบี้ว่า ถ้ามีบ้านให้ลูกสาวโดยไม่ต้องให้ลูกสาวอาศัยอยู่ในห้องเก็บศพ เธอก็จะแต่งงานกับเขา ซึ่งโทบี้ก็ตกลง แล้วนี่ก็คือจุดเริ่มการก้าวขาเข้าไปสู่เส้นทางที่ถอยหลังไม่ได้ของโทบี้ ที่จะเปลี่ยนชีวิตและพรากความสุขกับลูกสาวเขาไปตลอดกาล.

ก็อย่างที่บอก โทบี้อาจเป็นนักฆ่าเลเวลสูงแต่เขาโง่ จึงตกเป็นเครื่องมือของคนที่มีอำนาจและฉลาดที่จะตามมาซึ่งการสร้างแรงกดดันและเงื่อนไขที่จะกดให้อีกฝ่ายดิ่งลงไปแบบที่ยากจะตอบโต้คืนได้ง่ายๆ ชนิดที่ว่า ถ้าเขาหยิบไปเพื่อล้างแค้นฆ่าพวกแม่งให้หมดก็ทำได้นะ แต่ผลลัพท์ที่จะตามมามันจะไม่ได้ลงที่โทบี้น่ะสิ

พวกฉากแอคชั่นในหนังนี่หวังพึ่งอะไรไม่ได้เลย คิวบู๊จืดชืดและจ้องจะสโลโมชั่นอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งฉากจบมันก็สุดแสนจะเรียบง่ายเหลือเกินประหนึ่งแอนตี้ไคลแม็กซ์ยังไงยังงั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดแข็งมากๆ อย่างการเล่าเรื่องและการกดบรรยากาศ/สถานการณ์ตัวละครให้หนักสัสๆ หดหู่เหี้ยๆ ของหนังมันสามารถทดแทนทุกอย่างที่ดูเฉยๆเหล่านี้ได้หมดเช่นกัน

Family (2023)

Family (2023 / Nithish Sahadev)
(India)

จากชื่อหนังมันก็ตรงตัวเลยนะ เป็นหนังครอบครัว แต่การเปิดเรื่องเหมือนมีความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในครอบครัวแบบมีรอยร้าวเข้ากันไม่ได้บางอย่างอยู่ โดยเฉพาะลูกชายคนโตกับพ่อ พ่อที่มีโรงพิมพ์เก่าแต่ไม่ได้เปิด วันๆ นั่งนอนอยู่บ้านไม่ก็นัดกับเพื่อนเพื่อไปแดกเหล้ากันในโรงพิมพ์ ส่วนแม่ทำงานในโรงพิมพ์ดิจิตอลอย่างขยันขันแข็ง ลูกชายคนโตทำงานพากย์เสียงภาษาอื่นในซีรี่ส์ฮินดี ส่วนลูกชายคนเล็กยังเป็นนักเรียนมีความเป็นวัยรุ่นเลือดร้อนที่ยังคงคิดถึงแต่ตัวเองเป็นหลักอยู่ ส่วนปู่คือตัวละครเปิดเรื่อง ปู่ที่หิ้วกระเป๋าไปสถานีเพื่อซื้อบัตรไปไหนซักที่แต่ต้องโดนครอบครัวมาพากลับบ้านอยู่ตลอด พวกเขาไม่เคยถามหรือสนใจว่าปู่จะไปไหนหรอ มีแต่ความรู้สึกต้องพาปู่กลับบ้านไว้ก่อนเป็นหลัก.

ช่วงกลางเรื่องของหนังจะเป็นโร้ดมูฟวี่ ที่ผลพวงก่อให้เกิดการเดินของครอบครัวนี้ขึ้น ก็จะเริ่มมาจากลูกชายคนโตพบรักหลังจากปฏิเสธคู่ดูตัวเองมาตลอด แต่ก็มีเหตุให้เขาช้ำรักในกลางงานวันหมั้นขึ้น ซึ่งก็เป็นลูกชายคนโตนี่แหละที่คิดว่าพอกันทีความอึดอัดในบ้านที่ถูกคนรอบตัวมองเขาช้ำรักด้วยสายตาเป็นห่วง ลูกชายคนโตเลยบอก “ปู่ป่ะ ปู่จะไปไหนเดี๋ยวผมพาไปเอง” ซึ่งความจริงจังของลูกชายคนโตก็พลอยทำให้แม่เป็นห่วงแล้วต้องการไปกันทั้งครอบครัวนี่แหละ โดยพ่อตอนแรกก็ทำเป็นไม่สนไม่แคร์แต่สุดท้ายเขาก็ไม่อยากอยู่บ้านคนเดียว เพราะลูกชายคนเล็กก็รู็สึกว่าตัวเองซวยแล้ว เพราะในงานหมั้นพี่ชายเขาไปก่อเรื่องใหญ่ขึ้นจนเหมือนมีคู่กรณีจะมาเช็คบิลกับเขา “พี่กับปู่จะไปไหน ผมไปด้วยคน” น้องชายบอก

ในความเป็นโร้ดมูฟวี่ คนอินเดียใต้เดินทางขึ้นเหนือ นอกเหนือจากอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้นจนแทนที่จะไปถึงสบายๆ ก็เกิดความทุลักทุเลซวยซ้ำซ้อนเหนื่อยล้ากันอย่างช่วยไม่ได้ สิ่งที่ว่านั้นก็คือเรื่องของกำแพงภาษา จะมีก็แค่ลูกชายสองคนที่พอพูดฮินดีได้อยู่บ้าง

ช่วงท้ายเรื่องตอนที่ถึงที่หมายนี่ พอเห็นแววล่วงหน้าละว่า มันต้องลากเขาดราม่าลูบหัวคมหนักๆ แน่นอน ส่วนหนึ่งที่หนักจริงที่เผยให้เห็นรอยร้าวในครอบครัวที่ชัดแจ้งสุดๆ ก็คือ ช่วงที่พวกเขาโดนตำรวจเรียกไปสอบคำปาก (ต้นเหตุการติดร่างแหในช่วงโร้ดมูฟวี่นั่นแหละ) ตำรวจที่ไม่เชื่อพวกเขาคือครอบครัวเดียวกันจริง โดยสิ่งที่ตำรวจจะพิสูจน์ก็คือให้ลูกชายคนโตเอามือถือออกมา วางไว้แล้วให้พ่อเข้าโทรศัพท์ลูกชายคนโตนี้ โดยสิ่งที่ปรากฏขึ้นก็คือ ลูกชายไม่เมมเบอร์ของพ่อเอาไว้

ทั้งต้นเรื่อง กลางเรื่อง ไปจนถึงท้ายเรื่อง ล้วนปรากฏรอยร้าวของครอบครัวนี้ขึ้นตลอด จนมาถึงสถานการณ์หนึ่งที่ทำให้ทุกคนในครอบครัวรวมเป็นหนึ่งเดียวกันขึ้นมา นั่นก็จะเกี่ยวกับตัวปู่คนเดียวเลยจริงๆ แล้วกับสถานการณ์นี้แหละที่แทบจะเหลาปลายทางดราม่าจุกๆ รอไว้เลยก็ว่าได้

…… แต่

Kuiko (2023)

Kuiko (2023 / T.Arulchezhian)
(India)

โคตรไหล แบบไหลไปเรื่อยๆ จนมองไม่ออกเลยว่าประเด็น/เส้นเรื่องหลักของหนังมันคือเรื่องอะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ คนที่เกลียดบัญชีอย่างฉัน ปวดหัวเลย เพราะตัวเลขระหว่างความไหลของหนังมันสะพัดมาก แต่ไม่ใช่เชิงลึกอะไรเลย แบบบ้านๆ นี่แหละ การกู้ยืม จ่ายหนี้ติดหนี้ ลูกน้องร่วมมือกับลูกหนี้รีดเงินเจ้านายนิดหน่อยก็เอา ฝากเงินจ่ายให้อีกคนเป็นหน้าที่จัดงานศพ จ่ายเงินเช่าโลงเย็น อีกคนก็รอยืมเงินลุง ลุงบอกไปช่วยยกโลงให้เขาสิเดี๋ยวจ่ายให้ เจอตำรวจ ตำรวจบอกขนโลงผิดกฏหลายอย่าง ยัดเงินให้เรื่องเงียบ บางคนก็ซวยอีกเช่นลูกหนี้หลบเจ้าหนี้บนต้นไม้ เจ้าหนี้ไป ตัวเองตกต้นไม้เข้าโรงบาลบาดเจ็บเป็นอัมพาต ตำรวจจี้ให้เมียคนเจ็บแจ้งความเอาผิดเจ้าหนี้เรื่องเก็บดอกมากเกิน ทั้งที่เจ้าหนี้เก็บดอกในระดับต่ำถูกกฏหมาย สุดท้ายก็จบที่การต่อรองกับตำรวจด้วยเงินอยู่ดี

ฟังๆ ดูอาจเป็นเรื่องเครียด แต่จริงๆ มันคือหนังตลกนี่แหละ นอกเหนือจากเรื่องเงินที่สะพัดแบบไม่ต้องใส่ใจเรื่องเก็บเข้าจ่ายออกตามมันก็ยังคงเพลิดเพลินสนุกอยู่ดี บางคนต้องการเงินเพื่อเดินทางไปดูคริกเก๊ต แต่เพราะต้องติดรถมาขนโลงเย็นแล้วรอเงินที่ถูกยืมไปจ่ายตำรวจ แต่ขนเสร็จก็ยังไปไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่บ้านขอให้อยู่ช่วยงานหน่อยอีก พอจังหวะจะกลับได้ลุงก็บอกอย่าเพิ่งกลับมา เพราะลุงโดนตำรวจเล่นเรื่องเก็บดอกอยู่ เขาก็ดันซ้อนท้ายไปกับลุงด้วยเดี๋ยวจะโดนตำรวจรวบไปรีดเงินอีก

จะว่าไปส่วนใหญ่นอกเหนือจากเรื่องของชาวบ้านทั่วไปแล้ว ค่าใช้จ่ายที่ปรากฏในหนังมันก็แทบจะทำให้หนังกลายเป็นหนังการเงินแบบรากหญ้าไปด้วยเลยเหมือนกันนะ

ผ่านไปซักกลางเรื่อง ความไหลของหนังเริ่มชะลอแล้วมาหยุดเริ่มที่เส้นเรื่องหลักจากที่ปูไว้ก่อนหน้านี้ซักที่ เส้นเรื่องหลักในที่นี้ก็คือตัวละครพ่อโยกิบาบูของพวกเรานี่เอง เขาไปทำงานที่ซาอุฯเป็นคนเลี้ยงอูฐให้พระราชาเป็นคนรวยไปละ ที่เขากลับบ้านมาเพราะแม่เขาเสีย แน่นอนว่าการเงินของเขาได้เปลี่ยนงานศพแม่ให้กลายเป็นงานเทศกาลรื่นเริงระดับใหญ่ของหมู่บ้านทันที แรกๆ อาจจะเกริ่นด้วยนิสัยใจของเขาไว้ ก่อนจะตบลงด้วยเรื่องคู่ครองที่อดีตตอนที่เขาเป็นชาวบ้านเคยโดนกีดกันกับหญิงคนรักอยู่ แต่คราวนี้สิ่งที่ทะลายกำแพงลงกลับไม่ได้เป็นเรื่องเงินๆทองๆ ที่เขารวยแต่เป็นน้ำใจที่หยิบยื่นให้อีกฝ่ายผ่านคำแนะนำหนุ่มดวงซวยครูสอนเลขที่ติดอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ต่างหาก

อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้เรื่องของตัวเลขในหนังมองได้สองระดับเลยก็คือ การใช้จ่ายด้วยเงินแบบต่างๆ ของผู้ใหญ่ และเด็กๆ กับวิชาเลขที่ไม่ถนัด บางคนสอบผ่านหมดตกแต่เลขมาตลอดจนซ้ำชั้น และเด็กๆ ส่วนใหญ่เกลียดวิชาเลขเลยไม่ไปโรงเรียนมันซะเลย

แต่ชอบการสรุปปิดท้ายของหนังมากๆ ชนิดที่ว่า แม่งน่าจะเป็นความปกติส่วนหนึ่งในสังคมของแทบจะประเทศเลยก็ได้มั้ง

Ghost (2023)

Ghost (2023 / M. G. Srinivas)
(India)

กลุ่มโจรกลุ่มนึงได้วางแผนบุกเข้าไปในเรือนจำแห่งหนึ่งแล้วจับนักโทษที่นั่นเป็นตัวประกันไว้ ซึ่งหัวหน้ากลุ่มคือผู้ที่วางแผนทุกอย่างไว้อย่างรัดกุมและยากที่โดนระบุตัวได้ว่าเขาคือใคร ส่วนตำรวจคือคนที่มีฝีมือเด็ดขาดยอมเล่นสกปรกได้ถ้ามันจะทำให้งานสำเร็จ โดยทั้งคู่ล้วนต้องเผชิญหน้ากันในแง่ รู้เขารู้เรา ฝั่งตำรวจก็ต้องการรู้รายละเอียดในเรือนจำและข้อมูลพวกกลุ่มโจร ส่วนกลุ่มโจรก็ดักทางไว้หลายทางเพื่อไม่ให้ทางตำรวจทำงานได้ง่ายๆ ,แก้ทางกันไปมา

โดยสิ่งที่เราสงสัยหลักๆ ก็จะมีอยู่สองอย่าง นั่นคือ ไอ้ตัวหัวหน้ากลุ่มโจรมันคือใคร และ พวกมันวางแผนบุกเข้ามาในเรือนจำด้วยเป้าหมายใดกันแน่

ความเว่อร์ในแผนของหัวหน้ากลุ่มโจรนี่แหละที่มันชวนกร่อยหมดความลุ้นเกิน เพราะมันช่างเวอร์เกิน แบบว่านี่คือการวางแผนแบบข้ามช็อตล่วงหน้าไว้ประมาณ 10-20 แผนล่วงหน้า และทุกๆ แผนมันสำเร็จหมดแบบแทบไม่มีความผิดพลาดใดๆ เลย ..เวอร์เกิน

ถึงกระนั้น สิ่งทีฉันคิดว่า ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้เลยก็คือ สิบนาทีสุดท้าย แม่งมาเหนือสัสๆ เป็นการอธิบายถึง Ghost ที่เป็นชื่อหนังและสรุปโดยรวมแบบละเอียดแต่เข้าปากย่อยง่ายในทันทีว่า เป้าหมายทั้งหมดทั้งมวลนี้มีจุดหมายปลายทางคืออะไร ชนิดที่ว่า ..อ้าว ที่เหมือนเฉลยออกมาในช่วงท้ายของการบุกเรือนจำ มันไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่แท้จริงหรอกเหรอวะ !!??

และความน่าสนใจท้ายสุดที่ตามมาก็คือตอนจบ ที่เหมือนทิ้งปมไว้เรียบร้อยละว่า สามารถสร้างภาคต่อได้ … แต่ถ้าสร้างจริง ฉันก็คงไม่ตามไปดูแล้วล่ะ

Nanpakal Nerathu Mayakkam (2022 / Lijo Jose Pellissery)(India)

Nanpakal Nerathu Mayakkam (2022 / Lijo Jose Pellissery)
(India)

เล่าเรื่องอย่างเรียบง่ายด้วยสถานการณ์ที่หาทางออกกันได้ยากสุดๆ

คณะบุญจากเมืองเกรละพูดภาษามาลายาลัมกันเช่ารถบัสมาเมืองทมิฬนาฑูเพื่อมาทำบุญ แล้วเริ่มเรื่องด้วยการเตรียมตัวเดินทางกลับบ้านกันผ่านรถบัสคนเดิมกลับ
เจมส์พระเอกของเรื่องคือคนที่ไม่ชอบหลายอย่างของทมิฬนาฑู ไม่ชอบรสชาติอาหารทมิฬ ชาหวานเกินไป ไม่ชอบเพลงทมิฬ แล้วระหว่างเดินทางกลับผู้โดยสารทั้งคันยกเว้นคนขับก็หลับสนิทกันหมด ทันใดนั้นเจมส์ก็ตื่นแล้วบอกให้หยุดกลางทางที่รายล้อมด้วยทุ่งหญ้าเป็นเส้นทางที่พวกเขาไม่เคยมา เจมส์ลงจากรถแล้วเดินไปตามเข้าไปยังหมู่บ้านคนทมิฬเหมือนคนคุ้นเคย ก่อนไปจบที่บ้านหลังหนึ่ง เขาเอาฟางให้วัว เดินไปเปลี่ยนลุงกีที่แขวนไว้หน้าบ้าน ก่อนจะทักทายคนในบ้านทักแม่ทักเมีย เข้าครัวทำชากิน แล้วเดินออกไปหยิบมอไซค์ขับออกไป ทุกคนงงกันหมด เขาคือใคร ทั้งคนในบ้าน ทั้งญาติบ้านข้าง ทั้งคนในหมู่บ้าน รวมไปถึงคนเกรละที่รถบัสที่ตื่นมาก็งง เจมส์หายไปไหน ต้องออกตามหากันอีก

สถานการณ์ที่ยากในที่นี้ก็คือ ตัวเจมส์คนเกรละที่ภายในได้กลายเป็นคนที่ทมิฬนาฑู เขาคือลูกชายของพ่อแม่ที่บ้านหลังนี้ เขามีครอบครัวเป็นสามีของหญิงสาวคนหนึ่งและมีลูกสาว เขามีกิจวัฒประจำวันทำแบบที่เคยทำมาผ่านการขี่มอไซค์ออกไป เขาพูดภาษาทมิฬได้คล่องปรื๋อ กินอาหารทมิฬได้ถูกปากและชอบชาที่หวานจัดๆ จากนับถือคริสต์ก็กลายมากราบไหว้แบบฮินดีแทน มันคือสถานการณ์ที่คนเกรละพยายามพาเจมส์กลับ แต่เจมส์ปฏิเสธเสียงแข็ง “ข้าไม่รู้จักพวกเอ็ง” “พวกเอ็งเป็นใคร” แม้กระทั่งลูกเมียเจมส์ เจมส์ก็ไม่รู้จัก , คนทมิฬที่หมู่บ้านก็วางตัวไม่ถูก สำหรับพวกเขาแล้วเจมส์คือคนแปลกหน้าแต่รายละเอียดอดีตประวัติทุกอย่างของผู้คนที่นี่เจมส์พูดออกมาตรงหมดเหมือนเขาคือสุนทรัมชายที่อยู่บ้านหลังนั้น ถึงกระนั้นพ่อเมียและลูกสาวก็ไม่สามารถยอมรับบุคคลที่อ้างตัวเป็นสุนทรัมในภาพลักษ์ชายแปลกหน้าคนนี้ได้ในทันที ยกเว้นแม่ที่ตาบอด.

ในเรื่องมันจะมีการใช้ทางออกอยู่สองแบบ แบบแรกคือแบบแข็ง คนเกรละรวมพลังพยายามลากเจมส์ไปขึ้นรถกลับบ้าน แต่เจมส์แม่งพลังช้างสารใครก็เอาเขาไม่อยู่ แบบที่สองคือแบบอ่อน ที่เป็นสภาพแวดล้อมโดยรอบที่ทำให้เจมส์รู้สึกแปลกแยกจากที่นี่หมู่บ้านที่เขาคิดว่านี่บ้านเกิดเขา สำหรับเจมส์ที่ภายในคือสุนทรัม มันเหมือนเพิ่งผ่านมาได้วันเดียวเอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว สุนทรัมคือชายที่หายตัวไปโดยไม่มีใครพบเห็นอีกเลยพยายามตามหากันก็ไม่เจอเมื่อสองปีที่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงในรอบสองปีที่สุนทรัมคิดว่าวันเดียวนี่แหละที่ตะล่อมให้เขาอ่อนลงแบบตาเห็น ซึ่งก็รวมไปถึงท่าทีแข็งกร้าวหรือสายตาของคนในหมู่บ้านประหนึ่งการบอกว่า “คุณเป็นใครพวกเราไม่รู้จักคุณ”

แต่เอาเข้าจริงๆ ความพิศวงบางอย่างมันไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติมใดๆ ก็ได้ ซึ่งหนังในยุคหลังของ Lijo Jose Pellissery นี่ก็เป็นบ่อย จุดเริ่มต้น เจมส์กลายเป็นคนอื่นไปได้อย่างไร และการแก้ไข อะไรคือสิ่งที่แก้ไขให้เจมส์กลับมาเป็นคนเดิม ..นี่แหละคือความพิศวงที่มีมันช่างเมจิคเรียลลิสม์เหลือเกิน

ส่วนตัวคนที่น่าสงสารที่สุดในเรื่องนี้ คงหนีไม่พ้น ตัวละครเมีย เมียของเจมส์ที่เจมส์จำเธอไม่ได้แล้วเจมส์ได้กลายเป็นผัวของครอบครัวนั้นไปแล้ว อีกคนก็เมียของสุนทรัม แม้ภายในจะเป็นสุนทรัมไปเลย แต่เธอก็ไม่อาจยอมรับเจมส์ชายแปลกหน้าคนนี้ ยิ่งมองไปยังเมียของเจมส์ เธอยิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับทางตันในสถานการณ์ตรงหน้านี้.

อีกอย่างนึงเลยที่ไม่เข้าใจมาตลอดทั้งเรื่อง จนมาถึงตอนจบเพิ่งเก็ตว่ามันมีความหมายแฝงเอาไว้อยู่ นั่นก็คือ เมื่อเจมส์กลายเป็นคนอื่นเป็นคนทมิฬที่หมู่บ้านแห่งนี้ สิ่งที่ปกคลุมหนังไปพร้อม ๆ กันเลยก็คือ เสียงในฟิล์มจากหนังเรื่องอื่นที่เราไม่รู้หรอกว่าเรื่องอะไร ที่ดังคลอไปตลอดทั้งเรื่อง ทั้งจากหนังที่แม่ตาบอดของสุนทรัมนั่งดูทั้งวัน ทั้งเสียงจากหนังกลางแปลงที่ฉายอยู่ แต่ภายใต้บทพูดเสียงในฟิล์มจากหนังพวกนั้น มันก็มีความซ้อนทับกับสถานการณ์ในหมู่บ้านที่คนเกรละและคนทมิฬที่พยายามหาทางเรื่องเจมส์กันอยู่
ในช่วงที่สถานการณ์ของเจมส์คลี่คลายลง เสียงในฟิล์มก็จะยุติลงแบบที่เราสามารถรู้ได้ทันทีว่ามันจบลงเช่นกัน ซึ่งจะเป็นเสียงเครื่องฉายกับฟิล์มที่หมดม้วน ม้วนฟิล์มที่หมุนวงตีเครื่องฉายดังแกร๊กๆๆ

พอสนใจเรื่องของเสียงในฟิล์มที่มีในหนัง มันก็พบมุมมองของคนสองกลุ่มที่มองสถานการณ์ที่เกิดกับตัวเจมส์ต่างกันไป คนเกรละอาจมองว่าเจมส์ป่วย ส่วนคนทมิฬนาฑูอาจมองว่าเจมส์คือมิจฉาชีพที่มาพร้อมการแอบอ้าง ส่วนการมองเรื่องเสียงในฟิล์มก็มีสองมุมเช่นกัน กับคนวงนอกหรือคนต่างชาติ อาจมองแค่ว่าเสียงในฟิล์มมันอาจมีความหมายอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นคนอินเดียที่คลุกคลีหรือเป็นนักดูหนังตัวยงก็อาจฟินหรือสนุกกับการทายหนังผ่านเสียงในฟิล์มแบบโลคัลกันได้ว่า นี่คือบทพูดจากหนังเรื่องอะไร เหมือนที่ตัวเจมส์เคยเมาแล้วพากย์สดสวมบทตามบทพูดหนังที่ฉายกลางแปลงอยู่ … ในส่วนของตอนจบ อันนี้มองแบบมุมมองคนวงนอกเลยนะ ว่า มันอาจเป็นการเฉลยข้อสอบก็ได้ว่า พวกบรรดาเสียงในฟิล์มที่ถูกใช้ในหนังเรื่องนี้นั้น ล้วนมาจากงานของ Thilakan นักแสดงละครเวทีและภาพยนตร์ของวงการหนังอินเดียใต้ก็เป็นได้.

>>Netflix<<

Digital Village (2023)

Digital Village (2023 / Fahad Nandu, Ulsav Rajeev)
(India)

หมู่บ้านไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่ง กับชายหนุ่มทั้งสามคนเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่หัวใจเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ(อยากจะเป็น)คนทำหนัง โดยคนที่มาจุดไฟก็คือ ชายผู้ที่ดูภูมิฐานเหมือนเป็นคนที่อยู่ในวงการภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลค่อนข้างมากคนหนึ่ง ผลงานล่าสุดของเขาคือเรื่องอวตารที่มีแต่ตัวอย่างหนัง, พอเพื่อนๆ รู้ว่า นี่ไงคนในวงการหนัง เลยกระตุ้นให้เพื่อนอีกคนที่เล่าเรื่องเก่งเขียนบทหนังเรื่องนึงขึ้นมา แต่ปัญหาก็คือ ชาวบ้านที่นี่ล้วนมีหน้าที่การงานกันอยู่ หนุ่มทั้งสามคนก็ไม่เว้น คนนึงต้องทำงานขนอิฐ คนนึงต้องการทำงานรีทัชภาพที่ร้านของพ่อ และคนเขียนบทต้องดูแลวัว เลยจำเป็นที่เพื่อนทั้งสองต้องแบ่งเวลาหรืออู้งานตัวเองมาช่วยเพื่อนคนนี้ดูแลวัวเพื่อให้เขาได้สามารถเขียนบทหนังได้เสร็จให้ได้.

แต่ด้วยความมั่นของคนเขียนบท เขียนตัวเอกมาให้นักแสดงรุ่นใหญ่ของวงการหนังมาลายาลัมเลยแล้วต้องการให้บทหนังเรื่องนี้ของเขาได้ฉายโรงภาพยนตร์เท่านั้น ดังนั้นเมื่อชายผู้ที่ดูภูมิฐานเหมือนเป็นคนที่อยู่ในวงการภาพยนตร์ได้อ่านบทแล้วแนะนำกับคนเขียนบทว่า ความยาวของบทหนังที่เขียนออกมา คงทำเป็นภาพยนตร์ไม่ได้หรอก แนะนำว่าทำเป็น OTT ภาพยนตร์ในรูปแบบเว็บซีรี่ส์แบ่งเป็นสองซีซั่นแทน มาถึงตรงนี้สามหนุ่มงง อะไรคือ OTT อะไรคือเว็บซีรี่ส์ เขารู้จักแค่ CINEMA เมื่อชายคนนั้นอธิบายจนกระจ่าง คนเขียนบทก็ไม่พอใจ หนังเขาต้องเป็นแบบฉายโรงภาพยนตร์เท่านั้น เลยขอบทหนังคืน, แต่ชายคนนั้นก็ไม่ละความพยายาม กล่อมเพื่อนทั้งสองคนผ่านการมองเห็นพรสวรรค์จากคนที่ทำงานในแวดวงภาพยนตร์ บอกเพื่อนคนหนึ่งแสดงเป็นพระเอกได้เลย บอกเพื่อนอีกคนกับพ่อเขาว่า ลูกชายคุณมีพรสวรรค์ในเรื่องการถ่ายมากเลยนะครับ พอเพื่อนสองคนนี้ตัวลอย พวกเขาก็ไปกล่อมคนเขียนบทต่อ ประหนึ่งว่าก้าวแรกในวงการถ้าไปไม่ถึงหนังใหญ่ก็เอาหนังแบบเว็บซีรี่ส์ไปก่อนก็ได้ กำขี้ดีกว่ากำตดนะเวยเฮย, คนเขียนบทพอคิดทบทวนก็พบว่าเพื่อนสองคนนี้ทุ่มเทจริงจังเพื่อเขามามากทั้งการช่วยเลี้ยงวัวให้ ดังนั้นมือเขียนบทจึงยินยอมทำตามคำแนะนำของชายคนนั้น ก่อนจะมาซึ่งการผลักดันให้ชาวบ้านที่นี่มีส่วนร่วมในหนังที่จะถ่ายทำกันในหมู่บ้านแห่งนี้กัน ซึ่งก็มีการระดมทุนกันตามขั้นตอนการทำหนังแบบเว็บซีรี่ส์ ชาวบ้านก็เห็นดีเห็นงาม มาแคสติ้งดีใจกันชื่นมื่น จนกระทั่ง…..

เปิดเผยเนื้อหา***********

เรื่องมันพลิกมีจุดเปลี่ยนก็ตรงนี้แหละ เมื่อชายผู้ที่ดูภูมิฐานเหมือนเป็นคนที่อยู่ในวงการภาพยนตร์ที่มีอิทธิพลแม่งคือมิจฯ พอระดมทุนจากชาวบ้านได้เป็นก้อน แม่งก็หอบเงินชิ่งไปทันที จนทำให้คนที่ตกเป็นเป้าถัดมาจากชาวบ้านก็คือ สามหนุ่มที่เป็นเสมือนหัวเรี่ยวหัวแรงในการระดมทุนทำหนังแบบเว็บซีรี่ส์นี้.

ในทางหนึ่งก็เหมือนสามหนุ่มหมดไฟยอมแพ้เรื่องความฝันการทำหนังไปแล้ว แต่พอมองไปยังหมู่บ้านมันก็เหมือนว่าพวกเขาจะต้องรับผิดชอบเม็ดเงินที่หายไปของหมู่บ้านให้ได้ ไหนๆ เราก็มีบทแล้ว ดังนั้น พวกเราและชาวบ้านมาถ่ายทำหนังเรื่องนี้ให้เสร็จแล้วเอาไปขายด้วยตัวเองกันเถอะ
ความยากที่เหมือนคนตาบอดของพวกเขาเลยก็คือ พวกเขาชาวบ้านไกลปืนเที่ยง ไม่ได้มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีอะไรแบบนี้เลย รู้แค่ว่า ชายคนนั้นพูดถึงโซนี่บริษัททำหนัง พวกเขาเลยต้องออกเดินทางต่อรถหลายคันเพื่อเข้าเมืองเพื่อไปยังศูนย์โซนี่เพื่อส่งแฟลชไดร์ที่มีหนังของเขาให้ทางโซนี่พิจารณา ทว่า ศูนย์โซนี่ที่พวกเขามาคือศูนย์เครื่องใช้ไฟฟ้าโซนี่ ….

แต่ผู้จัดการที่นั่นก็เห็นใจและให้คำแนะนำตรงถัดมาว่า ระดับคุณงานหนังของพวกเขาที่ถ่ายทำกันมาหลายอีพี มันยากที่จะขายให้บริษัทOTT แนะนำแทนว่าให้อัพขึ้น youtube เองจะดีกว่า แน่นอนว่าพวกเขางง อะไรคือ youtube มันติดต่ออัพโหลดยังไง เลยกลายเป็นการเดินทางกันบริษัทช่อง youtube ดังๆ เพื่อขายหนังให้เขาลง แต่ก็ไม่มีใครเอา จนได้มาเจอป้ายประกาศเกียรติคุณของโรงเรียนที่มอบให้น้องเด็กประถมคนหนึ่งกับการมีผู้ติดตามช่อง youtube ถึงหนึ่งล้านคน พวกเขาก็คิดว่า เด็กคนนี้น่าจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายละ แต่กลายเป็นว่า เด็กประถมแนะนำให้พวกเขาสร้างช่องของตัวเองไปเลยจะดีกว่า น้องก็สร้างให้ อัพโหลดหนังซีรี่ส์พวกเขาให้ เสร็จสรรพ พร้อมถึงรายละเอียดเรื่องการได้รับเงินจาก youtube ด้วยว่ามันมีขั้นตอนยังไง.

ตรงนี้คือจุดเปลี่ยนผันที่ทำให้ชื่อหนังมีตัวตนขึ้นมา นั่นก็เพราะ การจะได้เงินจาก youtube ต้องมีคนติดตาม ต้องมียอดวิวเท่านั้นเท่านี้ เลยตามมาซึ่งการเปลี่ยนมือถือกันของชาวบ้านแทบทุกคนจากที่ใช้มือถือแอนดรอยกันไม่กี่คน พวกเขาก็พร้อมซื้อใหม่แล้วเข้า youtube รับชมผลงานภาพยนตร์ของหมู่บ้านตนเองกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข.

แต่การมาแต่ตัวแบบชาวบ้านไม่รู้เทคโนโลยี ให้ตายยังไงก็ไม่มียอดวิวไปมากกว่านี้คนกดติดตามก็แทบไม่เพิ่มมีแต่คนในหมู่บ้าน เลยตามมาซึ่งการโฆษณา แต่พวกเขาที่ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีอะไรเลย ทำไงกันล่ะ เขียนป้ายแนะนำช่องตัวเองแล้วไปเข้าหาผู้คนที่ท่ารถโดยสารแทน แต่ผลลัพท์ก็เหมือนไร้ประโยชน์

จนมาถึงช่วงที่ฉันชอบมากที่สุด จากที่หนังเหมือนจะให้เกิดการมองโลกในแง่ดีเสมอมาแม้จะเจอปัญหาและอุปสรรค แต่ช่วงตรงนี้คือการพาพวกเขาไปพบโลกความจริงอันโหดร้ายจากอินเตอร์เนตกัน
นั่นคือ การที่หนังของพวกเขาไปถึงมือของ Youtuber แบบพวก จัญเรด / อสต ที่หนังพวกเขามันไม่ได้ดีเลย มันมือสมัครเล่นมากๆ ถึงได้โดนสับแหลก ดูถูกเหยียดหยาม ด้อยค่า บั่นทอนจิตใจ ชนิดที่ทำให้คนทำหนังคนในหมู่บ้านหมดกำลังใจเหี่ยวเฉากันไปหมด แต่สัจธรรมข้อหนึ่งในโลกโซลเชี่ยวเลยมันก็สามารถเกิดขึ้น คอนเทนต์ที่แทบจะไร้ตัวตนเมื่อได้ถูกหยิบมานำเสนอไม่ว่าจะอวยหรือด่า จนมันกลายเป็นมีมเป็นเครื่องผลิตมีมออก เมื่อนั้นคอนเทนต์ที่ไร้ตัวตนก็จะมีตัวตนขึ้นมาและอาจกลายเป็นไวรัลแบบพลุแตกไปเลยก็เป็นได้

ฉะนั้นตอนจบของหนังนี่ มันเลยทำให้ฉันปลาบปลื้มใจเอามากๆ นี่คือสิ่งที่พวกเขาล้วนต้องเรียนรู้และรับมือว่า เทคโนโลยี อินเตอร์เนต มันให้ทั้งคุณและโทษ และบางครั้งการโดนทำร้ายจิตใจมันก็มาพร้อมของขวัญที่ล้ำค่าก็เป็นได้ แล้วการปรับเข้าหาเทคโนโลยีในยุคนี้ มันย่อมมีประโยชน์กับตัวเองมากกว่าในหลายๆ ด้าน.

..จริงๆ จะเขียนสั้นๆ ก็ได้นะ แต่ไม่เอาอ่ะ พอเริ่มเขียนยาวแม่งก็หยุดไม่อยู่ละ เลยเอามันไปเลยทั้งเรื่องละกัน